วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระธรรมเทศนาพระอาจารย์วิชัย อภิฐาโน

  วัดป่าธรรมธารา  กำแพงเพชร   พระธรรมเทศนาพระอาจารย์วิชัย  อภิฐาโน

พระธรรมเทศนาพระอาจารย์วิชัย  อภิฐาโน
     คือหลวงปู่สมชาย นั้นแหละจากเดิมที่ผ่านมาเราไม่เคยจะดูแลจิตใจของเราเลย  ไม่เคยคิดที่จะห่วงใจเราเลย เราไปห่วงแต่กายกลัวกายจะไม่สุข  กลัวกายจะไม่สบาย กลัวจะไม่สวยไม่งาม  แต่หลวงปู่ท่านสอนให้เรา  ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับมันเพราะอะไร   ก็เพราะร่างกายสังขารของเรามันไม่เที่ยงไม่จีรังไม่ ยั่งยืน ไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่ร่างกายของเรา  ที่ท่านเคยคุยให้ฟังอย่างนั้นเราชักจะปลงได้  ก็ไปทำบุญมาหลายวัด   แต่ก็ไม่เคยเห็นพระองค์ไหนพูดอย่างนี้  เลยทำให้เราอยากศึกษาข้อวัตรกับท่าน
นำมาใช้ที่วัดป่าธรรมธารา  ก็เลยคุยสู่กันฟังเล็กๆ น้อยๆ  มีอะไรอีกไหม  ถ้าไม่มีก็จะเอวังละกันนะเดี๋ยวจะได้แยกย้าย
                              *****************************************

                 ขอให้บวชตลอดชีวิตทุกชาติด้วยนี่คือคำอธิษฐานของเรา  ก็เป็นแต่ตัวนี่นะไม่อยากเล่าให้ฟังเดี๋ยวจะหาว่าพระองค์อวดเก่ง  มันจะแน่ซักแค่ไหน  เดี๋ยวก็เสือปากแดง วัวเขาอ่อน   เดี๋ยวก็ใจอ่อนสึกไปกับเขาอีก   เดี๋ยวพอมันได้เงินเป็นสิบเป็นร้อยล้าน เดี๋ยวมันก็สึกเอาเงินไปอีก  เดี๋ยวจะหาว่าพระองค์นี้อวดเก่ง  เป็นลักษณะนั้น  เดี๋ยวรอให้แก่อีกนิด จะแสดงความเก่งให้ดู  ตอนนี้ไปพูดไปเล่าแค่นี้มันก็จะอวดเก่งอยู่แล้ว  แต่ก็ไม่รู้นะ  แต่ก็แสดงให้เห็นอยู่จริงไหม  สิ่งที่เรามีอุดมการณ์ เราก็แสดงออกให้โยมเห็นอยู่  เงินซักบาท ซักตังค์ ซักลึง  เราไม่เคยยุ่งจริงๆนะ ได้มาเท่าไหร่ สร้างเท่านั้นมันเลยเป็นอย่างนี้  และเราก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติพอสมควร  อยู่ในเพศสมณะพอสมควรอีกต่างหาก  ก็แสดงให้เห็นสมควรที่ออกจากใจเรา  ที่มุ่งมั่นเหมือนกัน  เอ่อตอนนี้เจ๊หยัดเพื่อจะอธิษฐาน ไม่สายนะตอนนี้  ห้าหกสิบ ไม่สายหรอก  แต่จริงๆ น่าจะอธิษฐานตั้งแต่ สิบกว่าขวบไม่ใช่มาอธิษฐานตอนห้าหกสิบนะโยม  เห็นอาจารย์ท่านอธิษฐานเอาบ้างซิ  อืม  ตอนอาจารย์อธิษฐานก็อายุ 19 – 20 แล้วก็อธิษฐานมาทุกๆปี    ฉันมาห้าหกสิบปีไม่สาย  อาจารย์ว่า ไม่สายนะ อธิฐานเลยขอบวชเป็นชี  ขอให้ได้บวชเป็นชีทุกชาติแล้วขอให้ได้บวชตลอดชีวิตทุกชาติเลยไอ้ที่มีอยู่นะโยม  ของโยมนั่นนะ สิบกว่าห้องที่โค้งวิไล ชาติต่อไปโยมมียิ่งกว่านี้อีก ก็เรามาบวชอยู่อย่างนี้มันจะมีได้ยังไง  ขอเอาตัวอย่างง่ายๆนะ  แค่เจ๊หยัดชาตินี้มี ๑๐ กว่าห้องมีร้านค้ามีห้องเช่ามีอะไร  แถมมีที่ดินอีก  ถ้าเราสร้างกุศลเรื่อยชาติต่อไปมียิ่งกว่านี้อีก  แล้วไปกว่านั้นจะเป็นเหมือนพระพุทธเจ้าบางทีอาจจะเป็นเจ้าเมืองเลย เป็นเจ้าของทั้งจังหวัด เป็นเจ้าของทั้งประเทศ  ของพระพุทธเจ้าของเราเป็นเจ้าของทั้งประเทศ แต่เป็นไงทิ้งหมดเลย เดี๋ยวมันอิ่มเองนี่ยังไม่อิ่มนะนี่คุยให้ฟังคือยังไม่อิ่มกัน ถ้าอิ่มแบบพระพุทธเจ้าแล้วท่านทิ้งเลย ท่านมียิ่งกว่าเราท่านทิ้งเลย ท่านอิ่มแล้วแล้วดูเรานะ ๕๖๐ แล้วนะไม่รู้จะทำได้แค่ไหน จำเอาไว้ให้ดี อิ่มแล้วไม่รู้มันจะทำได้แค่ไหนอันนี้ก็ฝากสู่ญาติโยมฟัง
*****************************************
    


         ประกอบด้วยสถานแห่งนี้ที่สงบวิเวก  เป็นสถานที่อันสงัดจงทำให้เรานั้นทำสมาธิสงบได้ไว
วิธีทำสมาธินั้นท่านบางคนก็ทราบแล้วบางคนก็ยังไม่ทราบ  เราก็ตั้งกายเราให้ตรงดำรงสติของเราให้มั่น  ให้หายใจเข้าเราก็รู้-หายใจออกก็รู้ เข้าก็พุท ออกก็โธ  หายใจเข้าให้สติเราระลึกไปที่พุท  พอออกโธ
พุท-โธๆเรากำลังทำสมาธิเพื่อให้จิตใจของเราสงบและต้องการความสงบเมื่อสงบแล้วก็สุข  เมื่อสุขก็คือบุญของเรา  เราสร้างมาเพื่ออะไร  เราทำกันเพื่ออะไร ก็สร้างอำนาจตัวรู้คือปัญญามาควบคุมจิตควบคุมสติของเรา  สติมันระลึกได้สองทาง  มันระลึกได้ในทางไม่ดีนั้น ยับยั้งมันในวันหนึ่งๆเรามักเป็นเช่นนั้น
ก็คนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิอบรมจิตมา สติไประลึกอะไรนั้น คิดรับรู้อะไรนั้นเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา
ไม่เคยคิดที่จะยับยั้งหักห้ามพิจารณาเอาอำนาจตัวรู้มาคุ้มครองดูแล จิตมันรับในสิ่งไม่ดี คิดในสิ่งไม่ดี
ระลึกในสิ่งไม่ดี  เราไม่เคยคิดที่มีอำนาจตัวรู้ตัวปัญญาคอยยับยั้ง  ก็เลยแสดงออกไปทางกาย วาจาที่ไม่ดี
ที่เป็นโทษเป็นเวรกรรมใหม่  พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา  พระตถาคตเจ้าของเรานั้น
ท่านทรงประเสริฐตรงนี้แหละ  หาวิถีทางดับทุกข์  ให้รูว่ามันเป็นไปอย่างนั้น แสดงไปอย่างนั้น คิดไปอย่างนั้น มันก่อให้เกิดความเดือดร้อน ก่อให้เกิดโทษ มันจึงเป็นทุกข์นั้นเอง เมื่อพิจารณาทุกข์ได้เช่นนั้นแล้วนั้น  ทุกข์ที่กลาง ทุกข์ละเอียดที่ปราณีตลงเป็นของคู่กับโลกมันก็เข้าใจยิ่งขึ้น แต่อันดับอันดาของการที่เราได้ฝึกอบรมในการสร้างตัวรู้นั้นเอง  ทุกข์นั้นมีตั้ง ๑๒ ประการ ที่เราสวดเมื่อเช้านี้ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ว่าเป็นเรื่องธรรมดานั้นแหละเป็นความทุกข์  ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่หวงก็เป็นทุกข์  ปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์  ที่เราสวดท่องรูปังอนิจจา  เวทนาอนัตตา ทุกขังอนัตตาที่เราสวดเมื่อเช้า สัญญาอนัตตา ปฏิสังขารา วิญญาณนั้นนั่นแหละรูป นาม ขันธ์ทั้ง ๕ ก็เป็นทุกข์
มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา  ทีนี้เราก็จะรู้ถึงทุกข์ตามอันดับอันดาของธรรมชาติในสังขารที่เราเกิดมา
เมื่อเรารู้ทุกข์ในสิ่งเราจะกระทำ ในกายที่จะกระทำ ในวาจาที่จะพูด จิตใจนึกคิดปรุงแต่ง เราก็ย่อมมีโอกาสมีปัญญามีอำนาจตัวรู้ที่รู้ยิ่งๆขึ้งไป  รู้ถึงทุกข์ทั้งหยาบ กลาง ละเอียดของคำที่ได้อบรม  ปัญญาที่ได้สร้างมา  ใช้สตินั้นทำหน้าที่อีกทาง ระลึกไปในทางที่ดี  แต่คนที่จะระลึกไปในทางที่ดีนั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอบรม  ถ้าไม่เคยได้ฝึกฝนอบรม อ่าน ฟัง ศึกษามา เห็นมาและมาฝึกฝนอบรมจิตใจเราให้ดี
**************************************





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น