กฎระเบียบที่ผู้สมัครนาคต้องปฏิบัติตาม
ผู้ที่สมัครเป็นนาค จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัดดังนี้
ทุกสถานที่
ที่มีผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป จะต้องมีระเบียบข้อบังคับ เพื่อเป็นเครื่องป้องกันความชั่ว ความเสื่อมเสียที่อาจเกิดมีขึ้นได้ในภายหลัง ทางวัดแห่งนี้ก็เช่นกัน
ได้ประกาศตั้งระเบียบไว้เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยในวัดทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติตาม โดยเฉพาะผู้ที่สมัครเป็นนาค กฏระเบียบบางข้อมีผลบังคับตั้งแต่ เด็กวัด / โยมวัด /
นาค / แม่ชี / ผู้ปฏิบัติธรรม
/ และผู้ที่อยู่ในวัดนี้ทุกคน
กฎระเบียบบางข้อ
จะมีผลบังคับไปจนถึงบวชเป็นพระภิกษุและสามเณรก็ตาม ก็ต้องยึดปฏิบัติ
ตามกฎระเบียบนั้นๆ
และ ฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด
ต่อไปนี้เรียกว่า กฎระเบียบโดยย่อ คือ ข้อห้าม และ ข้อปฏิบัติ
มีดีงนี้ คือ.-
ว่าด้วยเรื่องข้อห้าม
1.
ห้ามดื่มสุราเมรัย / ห้ามเสพสิ่งเสพติดมึนเมาทุกชนิด
/ ห้ามสูบบุหรี่ / ห้ามทานหมาก /
ห้ามเล่นการพนัน
/ ห้ามลักขโมยของซึ่งกันและกัน / ห้ามสวมรองเท้า
2.
ห้ามนำมหรสพทุกชนิดเข้ามาทำการละเล่นภายในวัด / ห้ามทำการละเล่น
ขับร้องประโคมดนตรีทุกประเภท
3.
ห้ามมีโทรศัพท์ / ห้ามมีวีดีโอ
/ ห้ามมีวิทยุ / ห้ามฟังเทป / ห้ามมีกล้องถ่ายรูป / ห้ามมีเทปวิทยุ
ห้ามมีม้วนเทปเพลง /ห้ามมีม้วนเทปที่ไม่เกี่ยวกับธรรมมะทุกชนิด
4.
ห้ามดูโทรทัศน์
/ ห้ามดูวีดีโอ / ห้ามฟังวิทยุ/ห้ามฟังเทปที่ไม่เกี่ยวกับธรรมมะทุกชนิด
/ ห้ามใช้กล้องถ่ายรูปด้วยตนเอง
5.
ห้ามอ่านหนังสือนิยาย
/ ห้ามอ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะทุกชนิด
/ ห้ามอ่านหนังสือต่างลัทธิ
ต่างคำสอนซึ่งจะทำให้การปฏิบัติไขว่เขว
6.
ห้ามเรียนติรัจฉานวิชา
/ ห้ามตั้งตนเป็นอาจารย์สัก
สักให้ผู้อื่นก็ดี สักให้ตนเองก็ดี/
ห้ามทำการทำนายโชคชะตาราศีทุกประเภท / ห้ามตั้งตนเป็นหมอดู
หมอยา หมอเสน่ห์/
ห้ามบอกใบ้หวย
7.
ห้ามตั้งตนเป็นอาจารย์ทรง
/ ทรงเจ้าเข้าวิญญาณ / ทรงเองก็ดีให้คนอื่นทรงให้ก็ดี
8.
ห้ามตั้งศาลเทียมตา
/ ห้ามตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่
/ ห้ามตั้งเครื่องสังเวย เครื่องเซ่นหัวหมู บายศรี
ราชวัชฉัตรธง
ห้ามนำลัทธินอกศาสนาเข้ามาปะปนในสถานที่แห่งนี้
9.
ห้ามก่อการทะเลาะวิวาท ทุ่มเถียงชกต่อย ตบตี หรือ ก่อการไม่สงบอย่างใดอย่างหนึ่งเด็ดขาด
10.
ห้ามพูดจาวิพากวิจารณ์
หรือออกเหตุผลให้เกิดความเสียหายซึ่งกันและกัน / หรือให้เกิดความเสียหาย
หรือให้เกิดความเข้าใจผิดต่อทางวัด
ต่อพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรม
11.
ห้ามพูดจาจ้วงจาบดูหมิ่นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี
และผู้ปฏิบัติธรรมตลอดทั้งเพื่อนสมบัติธรรมิกด้วยกัน
12.
ห้ามพูดจาโต้เถียงพระภิกษุสามเณร-แม่ชี
และผู้ปฏิบัติธรรม/ ห้ามพูดจาโต้เถียงกับแขกภายนอก
13.
ห้ามพูดหยาบคาย/
ห้ามจาล้อเล่น
หรือแสดงกิริยาอาการล้อเล่นกับพระภิกษุสามเณร-แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรม/ ต้องใช้คำพูดสุขภาพเรียบร้อยและต้องมีกิริยาอ่อนน้อมลงด้วย
14.
ห้ามพูดคุยกันในสถานที่ประชุม / ห้ามพูดคุยกันในขณะที่ครูบาอาจารย์กำลังเทศนาอบรม
/ ห้ามพูดคุยกันในระหว่างการบำเพ็ญภาวนา / ห้ามพูดคุยกันในระหว่างสวดมนต์ไหว้พระ / ห้ามพูดคุยกันในระหว่างกำลังบริโภคอาหารหรือบริโภคน้ำ
/ ห้ามพูดคุยกันในระหว่างกำลังทำงาน / ห้ามตะโกนเรียกกัน
/ ห้ามตะโกนพูดกัน / ห้ามส่งเสียงดังหรือแสดงอาการเอะอะโวยวาย
15.
ห้ามลุกเดินไปไหนมาไหน ในขณะที่อยู่ในห้องอบรม / ห้ามลุกเดินไปไหนมาไหนในขณะที่ครูบาอาจารย์กำลังเทศนาอบรม
/ ในขณะที่กำลังทำสมาธิบำเพ็ญภาวนา / ในขณะที่กำลังสวดมนต์ไหว้พระ
16.
ห้ามเดินแซงหน้าพระภิกษุสามเณร / ห้ามเดินสวนทางพระภิกษุ สามเณร / เมื่อเห็นพระภิกษุ สามเณรเดินผ่านมาต้องนั่งคุกเข่าประณมมือ ให้ท่านเดินผ่านไปก่อนแล้วจึงเดินต่อ / ในกรณีที่มีธุระด่วนมากถ้าจำเป็นต้องเดินแซงให้กล่าวขอโอกาสท่านเสียก่อนจึงแซงหน้าไปได้
/
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ หรือท่านพ่อ
ห้ามเดินแซงห้ามเดินสวนเด็ดขาดให้ใช้เส้นทางอื่นแทน
17.
ห้ามเดินแซงหรือเดินสวนกับแม่ชี
และผู้ปฏิบัติธรรมฝ่ายหญิง / ให้ยืนรอท่านผ่านไปก่อน
หรือให้ใช้เส้นทางอื่นแทน
18.
ห้ามวิ่ง/ ห้ามเดินโยกโคลงกาย / ห้ามเดินกระโหย่งเท้า / ห้ามเดินไกวแขน / ห้ามเดินเป็นกลุ่ม
ห้ามเดินไปพูดไป / ห้ามเดินตีเสมอกับพระภิกษุ
สามเณร
19.
ห้ามเดินบริโภคอาหาร / ห้ามเดินบริโภคน้ำ
/ เมื่อจะบริโภคขบฉันพึงหาที่นั่งพับเพียบให้
เรียบร้อยเสียก่อนจึงค่อยบริโภคขบฉัน
20.
ห้ามนั่งรัดเข่า/ ห้ามนั่งไขว่ห้าง
/ ห้ามนั่งเอามือค้ำกาย / ห้ามนั่งขัดสมาทสนทนากัน
/ การนั่งขัด
สมาท หรือ นั่งสมาธินั้น ให้ใช้นั่งเฉพาะเวลานั่งสมาธิเท่านั้น และ
เวลาฉันอาหารเท่านั้น
21.
ห้ามใช้มือเท้าสะเอว / ห้ามใช้มือไพ่หลัง / ห้ามใช้มือกอดอก
22.
ห้ามนำเรื่องราวทางโลก ซึ่งไม่ใช่สาระข้อธรรมมาพูดคุยสนทนากัน
23.
ห้ามนำกาแฟ / น้ำอ้อย / น้ำตาล / น้ำหวาน / และอาหารทุกชนิดขึ้นไปฉันที่บนกุฏิ
หรือ เขตสังฆาวาส
24.
ห้ามผ่านเข้าไปในเขต (เขตหวงห้ามของทางวัด)
คือ ทางบ้านพักแม่ชี / ทางด้านโรงครัวและภายในโรงครัว
/ ถ้ามีความจำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าอาวาสเสียก่อน และ
ต้องมีเพื่อนเข้าไปด้วยทุกครั้ง
25.
ห้ามหลบหนีการฝึก / ห้ามหลบหนีงาน
/ ห้ามหลบหนีกิจวัตรประจำวัน / ในเมื่อพระภิกษุสามเณรที่มีธุระเรียกใช้
หรือ ขอความช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ต้องเอาใจใส่ต่อกิจนั้นๆ ให้สำเร็จเรียบร้อยลุล่วงไปด้วยดีทุกครั้งด้วย
26.
ห้ามออกนอกวัดโดยพละการ ถ้ามีความจำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าอาวาส
หรือผู้ทำหน้าที่แทนทุกครั้ง
เมื่อทำธุระเสร็จกลับเข้ามาต้องรายงานตัวแจ้งให้ทราบด้วย(ไปลามาไหว้)
ว่าด้วยเรื่องข้อปฏิบัติ
1.
นาคจะต้องมีคุณสมบัติถูกต้องตามพุทธานุญาต ถูกต้องตามหลักพระวินัย ถูกต้องตามระเบียบ
คณะสงฆ์ ถูกต้องตามกรมระเบียบกรมการศาสนา และ ถูกต้องตามระเบียบของทางวัดคือ
1.1
มีบิดา
มารดา หรือผู้ที่ควรเชื่อถือได้รับรอง พร้อมหลักฐานสำคัญ
สำเนาทะเบียนบ้านบัตร
ประชาชน / บัตรข้าราชการ
/ และมีอาชีพเป็นหลัก / ไม่เป็นคนหลักลอย
1.2
นับถือศาสนาพุทธ
1.3
เป็นสุภาพชน มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่มีความเสียหาย เช่น
ติดสุราหรือติดยาเสพติดให้โทษเป็นต้น
และไม่เป็นคนจรจัด มีความรู้อ่าน
และ เขียนหนังสือได้ ไม่เป็นคนทิฏฐิวิบัติ
1.4
.
ไม่เป็นคนล้มละลาย / ไม่มีหนี้สิ้นผูกพัน
1.5
.
เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ / เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์
และ สามารถบำเพ็ญสมณกิจด้าน
ศาสนาได้
1.6
.
ไม่เป็นคนชราไร้ความสามารถ / ไม่เป็นคนทุพพลภาพ
/ ไม่พิกลพิการใดๆ
1.7
.
มีสมณบริขารครบถ้วนตามพระวินัย / และสามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วย
ตนเอง
1.8
.
ไม่เป็นคนทำผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน / ไม่เป็นคนหลบหนีข้าราชการ
1.9
.
ไม่เป็นคนมีคดีติดตัว / ไม่เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา
/ ไม่เคยตัดสินเป็นผู้ร้ายสำคัญ
1.10 ไม่เป็นคนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา และ
ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาหรือ
ผู้ปกครอง
1.11.
ไม่เป็นคนมีโรคติดต่ออันน่ารังเกียจ เช่น วัณโรค
โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก
โรคมองค่อ
ลมบ้าหมู
2.
นาคจะต้องฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย
และ มีกิริยามารยาทสุขุมสำรวมสังวร
3.
นาคจะต้องฝึกลดทิฏฐิมานะความถือดีความถือตัว ความถือยศฐาบรรดาศักดิ์
4.
นาคจะต้องเป็นคนว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นคนหัวดื้อรั้น / ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
ให้ความเคารพต่อพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และ ผู้ปฏิบัติธรรม ตลอดทั้งให้ความเคารพต่อ ญาติโยมภายในวัด และ
ให้ความเคารพซึ่งกันและกันตามฐานะ(ฐานะในทางธรรม)
5.
นาคจะต้องรักษาศีลแปดให้บริสุทธิ์ ภายหลังจากอยู่วัดได้ 10 วัน และต้องรับประทานอาหารครั้งเดียว
รับประทานอาหารใน กะละมัง
6.
นาคจะต้องแต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสมกับผู้ที่เตรียมตัวจะบวช
7.
นาคจะต้องนุ่งกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว / ห้ามแต่งตัวสกปรกเลอะเทอะ
/ ห้ามไว้ผมยาวรุงรัง / ห้ามไว้เล็บมือ
เล็บเท้า
8.
นาคจะต้องฝึกกล่าวคำขานนาคได้ด้วยตนเอง
ให้ถูกต้องตามอักขระวิธี
9.
นาคจะต้องฝึกให้รู้จักหลักการถวายของ การประเคนของการรับของ และรู้จักการทำวินัยกรรมพืชคาม พืชคาม(กัปปิยะ ภันเต)
10.
นาคจะต้องฝึกกราบให้ถูกต้องตามองค์เบญจางคประดิษฐ์
/ ฝึกเดินเข่า / ฝึกใช้สายตาให้ต่ำในระยะ 4 ศอก เมื่อจะพูดกับพระภิกษุ สามเณร
เมื่อ จะยืน เดิน นั่ง และไม่หันซ้าย ขวา ไม่สบสายตากับครูบาอาจารย์
11.
นาคจะต้อง เช่น ก่อนพูดใช้คำขึ้นต้นว่า “ขอโอกาสครับ” และใช้คำลงท้ายว่า “ครับ-กระผม”
พร้อมทั้งแสดงกิริยามารยาทอ่อนน้อม และ นั่งประณมมือทุกครั้งที่จะพูดกับพระ
12.
นาคจะต้องฝึกฝนนิสัยพระให้ในตน เช่น ต้องศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัย
เรียนรู้ระเบียบต่างๆ
ตามหนังสือวินัยมุข นวโกวาท
และศึกษาจากพระภิกษุ สามเณรผู้บวชอยู่ก่อนแล้ว
13.
นาคจะต้องฝึกหัดเรียนรู้ศาสนพิธีเบื้องต้น
เช่น คำกล่าวคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม
และคำกล่าวถวายภัตตาหาร
สามารถเป็นพิธีกรนำพาไหว้พระรับศีลได้ถูกต้อง
14.
นาคจะต้องฝึกจิตทำสมาธิทุกวัน มีการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เป็นต้น
15.
นาคจะต้องทำกิจวัตร คือ ต้องปัดกวาดบริเวณวัด
เช้า - เย็นทุกวัน
16.
นาคจะต้องฝึกสวดมนต์ไหว้พระเช้า – เย็น
ทุกวัน / ต้องเข้ารับการฝึกอบรมตามกำหนดเวลา
ทุกวัน
17.
นาคจะต้องฝึกความอดทน / ฝึกมักน้อยสันโดษ
/ ฝึกรักษาความสะอาด / ฝึกทำงานทุกอย่างไม่ให้สกปรกเลอะเทอะเปอะปะ
/ งานที่มีเสียงก็ให้มีเสียงเบาที่สุด / ฝึกจนมีจิตเมตตาต่อสัตว์และบุคคลทั่วไป
18.
นาคจะต้องฝึกเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฝึกปฏิสันถารต้อนรับแขกโยม ต้อนรับแขกพระ
ที่มาเยี่ยมวัดด้วยการจัดหาน้ำร้อน น้ำเย็น และจัดหาอาหารเลี้ยงรับรอง
แสดงถึงความเอื้อเฟื้อจากเจ้าถิ่น
19.
ในกรณีที่นาคไม่มีเจ้าภาพ เนื่องจากโยมพ่อ
โยมแม่ขัดสน หรือ ทางครอบครัวไม่สะดวกด้วยประการต่างๆ
และต้องการให้ทางวัดจัดหาเจ้าภาพจัดบริขารบวชให้นั้น
นาคจะต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสทราบก่อนวันบวชอย่างช้า 1 เดือน
20.
นาคทุกคนเมื่อบวชแล้ว จะต้องอยู่กับครูบาอาจารย์ ณ
ที่วัดนี้อย่างน้อย 3
เดือน จึงจะไปที่อื่นได้
21.
นาคทุกคนเมื่อบวชแล้วจะไปไหนมาไหนตามชอบใจไม่ได้ เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์จะเห็นดีเห็นชอบด้วย
22.
นาคทุกคนถ้าพิจารณาแล้ว หรือ ทดลองดูแล้ว
เห็นว่าไม่สามารถจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัดได้
ให้ลากลับโดยให้ผู้ปกครองมาเซ็นให้ลากลับได้
23.
นาคทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัดอย่างเคร่งครัด ถ้านาคคนใดฝ่าฝืน
ล่วงละเมิดกฎระเบียบดังกล่าวข้างต้นนั้นข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ทางวัดจำเป็นต้องลงโทษแก่ผู้กระทำ ความผิด
ตามสถานภาพของความผิดอย่างใด อย่างหนึ่งดังนี้คือ
1.
ว่ากล่าวตักเตือน / ลงโทษเพื่อไถ่ถอนความผิด
/ หรือให้ออกจากวัดทันที
2.
ภาคทัณฑ์ / ว่ากล่าวตักเตือน / ลงโทษ / เชิญผู้ปกครอง พ่อ แม่ หรือ ผู้รับรอง หรือ
พยาน
รับรอง หรือ
ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนาคให้มารับทราบความผิด / หรือให้ออกจากวัดทันที
3.
ให้ออกจากวัด ภายใน 24 ชั่วโมง
/ หรือให้ออกจากวัดทันที
หลักฐานที่ใช้ในการสมัครนาค
1.
ใบสมัครนาค
2.
สำเนาทะเบียนบ้าน
3.
สำเนาบัตรประชาชน/บัตรข้าราชการ
4.
สำเนาบัตรประชาชาชนของบิดา,มารดา
หรือ ผู้รับรอง
5.
ในกรณีที่เป็นข้าราชการ
ต้องมีใบรับรองการอนุญาตจากหน่วยข้าราชการนั้นๆด้วย
ใบสมัครสำหรับผู้ขอบรรพชา-
อุปสมบท
ที่………/……… เขียนที่……………….
วันที่
……….เดือน………พ.ศ……..
ข้าพเจ้า…………………………………….นามสกุล………..…………….…………….
มีเชื้อชาติ………….สัญชาติ…………..นับถือศาสนา……………….
เกิดที่บ้านเลขที่…………หมู่………บ้าน………………………..แขวง/ตำบล……………………………เขต/ อำเภอ…………………….จังหวัด……………………………..
เกิดวันที่……..เดือน……………………พ.ศ…………..ตรงกับวัน………………ปี……………..มีสัณฐาน…………………..
สีผิว………………ตำหนิ………………………บัตรประจำตัวประชาชนเลขที่………………………………...
วิทยฐานะ………………สาขา………………………จากสถาบันการศึกษา………………………………………
ปัจจุบันมีอาชีพ……………………ตำแหน่งหน้าที่…………………………สถานที่ประกอบอาชีพ……………………………………ปัจจุบันมีอายุ………ปีโดยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่…………….หมู่ที่………บ้าน………………….แขวง/ตำบล………………………..เขต/อำเภอ…………………….จังหวัด…………………………
บิดาชื่อ……………………………..มารดาชื่อ………………………….นามสกุลเดิม…………………
ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสจึงขอสมัครเป็นนาคเพื่อต้องการบรรพชา
– อุปสมบท ณ วัดป่าธรรมธารา เป็นเวลา อย่างน้อย 3 เดือน
เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติจึงขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณดังนี้
ข้อที่ ๑ ข้าพเจ้าขอถวายคำปฏิญาณว่า ข้าพเจ้ามีคุณลักษณะควรแก่การบรรพชาอุปสมบทดังแจ้งตามรายการข้างล่างนี้
๑. เป็นสุภาพชนมีความประพฤติดีไม่มีความประพฤติเสียหาย เช่น ไม่ติดสุรา หรือ
ยาเสพติดให้โทษอื่นๆ และไม่เป็นคนจรจัด
ใช่หรือไม่ ……………………..
๒. เป็นผู้มีความรู้ อ่าน เขียนหนังสือไทยได้ และ กล่าวคำขานนาคถูกต้องตามอักขระได้
ใช่หรือไม่………………
๓. เป็นผู้ไม่มีหนี้สิ้นผูกพัน , คนล้มละลาย ใช่หรือไม่………………
๔. เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษและมีร่างกายสมบูรณ์ ใช่หรือไม่………………
๕. เป็นผู้ไม่มีโรคติดต่ออันหน้ารังเกียจติดตัว ใช่หรือไม่………………
๖. บิดา มารดา หรือผู้ปกครองอนุญาติแล้ว ใช่หรือไม่………………
๗. ไม่เป็นผู้หลบหนีราชการ/ไม่มีคดีอาญาติดตัว /และไม่เคยทำความผิดร้ายแรงทางสาสนามาก่อนใช่หรือไม่………………
ข้อที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถวายคำปฏิญาณว่า
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะตั้งใจปฏิบัติธรรม และจะเคารพนับถือเชื่อฟังและจะปฏิบัติตามสิ่งที่ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอน
จะประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย
ถ้าต่อไปภายหลังข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามกฏระเบียบของทางวัด
ข้าพเจ้ายินดีที่จะรับโทษ ตามที่คณะสงฆ์จะพิจารณาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
ขอได้โปรดอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้อยู่ฝึกอบรมเป็นนาค เพื่อบรรพชา อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ณ
วัดป่าธรรมธาราแห่งนี้ต่อไป ด้วยเทอญ
ลงชื่อ……………….…………………..ผู้ขอสมัครเป็นนาค
(…………………………………………………………….)
ลงชื่อ………………….……….…………………..ผู้รับรอง
(…………………………………………………………….)
กิจวัตรประจำวันสำหรับนาค
เวลา 03.30 น. -
ทำสมาธิ
เวลา 04.00 น. -
สวดมนต์ทำวัตรเช้า / ทำสมาธิ
และฟังเทศน์
- จัดที่ฉันภัตตาหาร
- ปฏิบัติธรรมตามจุดต่างๆ(เดินจงกลม)
เวลา 06.00 น. - ออกบิณฑบาตรกับพระภิกษุสามเณร
- ทำความสะอาดศาลา
และบริเวณรอบๆ , ลานวัด
เวลา 07.30 น. -
จัดภัตตาหาร / ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ-สามเณร
-
รับประทานอาหาร / ทำความสะอาดบริเวณที่รับประทานอาหาร
-
ทำกิจวัตรส่วนตัว / ฝึกถักไม้กวาด/
-
ช่วยพระภิกษุต้อนรับแขกบนศาลา
เวลา 13.00 น. -
ซ้อมมนต์ / รับการอบรมจากครูฝึกนาค
เวลา 15.00 น. -
ทำความสะอาด กวาดลานวัด
เวลา 18.00 น. -
ฉันน้ำปานะ
เวลา 18.30 น. -
ทำสมาธิ
เวลา 19.00 น. -
สวดมนต์ทำวัตรค่ำ / รับการอบรมจากครูฝึกนาค
-
ปฏิบัติธรรมตามจุดต่างๆ
เวลา 20.30 น. -
ฉันน้ำปานะ
เวลา 23.00 น. -
พักผ่อนตามอัธยาศัย
******************************************
กำหนดการต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม..
การต้อนรับปฏิสันถารแขกต่างๆ
ในเวลาที่ว่างจากกิจวัตรประจำวันแล้ว
นาคจะต้องเข้ามาในศาลาเข้ามาต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมวัดดังนี้
การต้อนรับพระอาคันตุกะ
1.
เชื้อเชิญ
แนะนำ สถานที่ และ ปฏิสันถารด้วย
และนิมนต์ไปพบท่านเจ้าอาวาส
2.
จัดอาหารและน้ำถวายท่านทั้งภาคมื้อเช้าและมื้อเพล
เสร็จแล้วจัดเก็บทำความสะอาดให้เรียบร้อย
3.
นิมนต์พระอาคันตุกะสู่กุฏิที่พัก
พร้อมทั้งทำความสะอาดสถานที่พักให้สะอาดเรียบร้อย
4.
ติดตามดูแล
อำนวยความสะดวกต่างๆ
การต้อนรับแขกโยม
1.
เชื้อเชิญ ปฏิสันถาร แนะนำสถานที่ และพาเข้าพบท่านเจ้าอาวาส
2.
จัดหาน้ำดื่มเลี้ยงต้อนรับ
3.
หากโยมมีความต้องการอาหารและที่พัก ก็จัดหาให้ตามความประสงค์
พร้อมทั้งติดตามอำนวยความสะดวก
******************************
ข้อควรปฏิบัติสำหรับพระภิกษุ
–
สามเณรภายในวัดป่าธรรมธาราจะต้องปฏิบัติตาม
ขนบธรรมเนียมเเละจารีตประเพณี
ของประชาชนแต่ละท้องถิ่นย่อมไม่เหมือนกัน มีผิดแผกแตกต่างกันไป ตามแต่บรรพบุรุษในถิ่นนั้นๆ
นิยมประพฤติกันมา ฝ่ายผู้สละเคหะสถานบ้านเรือนออกบวชในพระพุทธศาสนา
ก็มีขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งพระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้สาวกของพระองค์ได้ประพฤติสม่ำเสมอกัน ส่วนใหญ่เรียกว่า“พระวินัย” ต่างก็ได้ค้นคว้าศึกษาเล่าเรียน
เอาไว้ปฏิบัติ ขัดเกลากาย วาจา ใจ
ให้สะอาดผ่องใสและยังมีส่วนปลีกย่อย เรียกว่า “อภิสมาจาร” เรียกเป็นภาษาไทยว่า “คุณสมบัติของผู้ดี”
แต่ยังมีการลักลั่นกันอยู่บ้าง
เป็นเหตุให้ความงามของเหล่าศากยะบุตร
ไม่สม่ำเสมอกัน
เป็นเหตุแห่งการดูหมิ่นของมหาชน เป็นเหตุแห่งความรังเกียจซึ่งกันและกัน
ทั้งยังเป็นเหตุเหยียดหยามของเจ้าลัทธิอื่นๆ
ดังนั้นแต่ละสำนักจึงมีกฎระเบียบ เพื่อให้พระภิกษุ – สามเณรแต่ละวัด
ปฏิบัติกัน
ดังนั้นพระภิกษุสามเณรจึงควรสำเหนียกในคุณสมบัติของผู้ดีให้มากๆ
และในที่นี้จะยกมาตั้งไว้พอเป็นสังเขป
แนวทางบ้างเล็กน้อย ดังต่อไปนี้
๑.รูปิยะ
ห้ามพระภิกษุ - สามเณรทุกรูปมีเงินทอง หรือ
สิ่งที่ชาวโลกสมมติใช้แทนเงินทอง ห้ามเก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากมีผู้ถวายให้นำเข้ากองกลางทันที
ต้องทำเป็นของกลางสงฆ์ทั้งหมด
เมื่อมีความจำเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับบริขารให้มาแจ้งเจ้าอาวาส หรือ ผู้มีหน้าที่แจกของสงฆ์
จะได้พิจารณานำมาถวายตามความ
จำเป็นต่อไป
๒.บุหรี่
หมาก
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปสูบบุหรี่ และ ฉันหมาก บุหรี่และหมาก
ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับ ผู้ออกบวชเพื่อหวังพ้นทุกข์ พระภิกษุ - สามเณรควรเป็นตัวอย่างที่ดี
แก่ชาวบ้านและ นาค และเป็นผู้คอยสั่งสอนอบรมชาวบ้าน นาคจึงไม่ควรเสพสิ่งเสพติดทั้งสองอย่างนี้เลย
จัดเป็นสิ่งเสพติดที่บั่นทอนสุขภาพกาย และ
อวัยวะให้เสื่อมโทรม
เท่าที่ค้นคว้าตามตำราพระไตรปิฎกไม่ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ
พระสาวกองค์ใด สูบบุหรี่ ฉันหมาก
แม้แต่ครั้งเดียว แม้เจ้าอาวาสวัดนี้ก็ไม่เคยสูบบุหรี่ ฉันหมาก บรรดาพระภิกษุ
สามเณรทุกรูปที่มาสมัครเป็นลูกศิษย์
จึงไม่ควรสูบบุหรี่ และฉันหมากอย่างเด็ดขาด
๓.รองเท้า
ห้ามพระภิกษุ สามเณรใส่รองเท้า
เพราะรองเท้าไม่ใช่บริขารที่จำเป็นอะไรมาก สำหรับภูมิประเทศของบ้านเรา อีกอย่างหนึ่งพระบรมศาสดาของเรานั้น ตั้งแต่ออกผนวชแล้วไม่เคยสวมฉลองพระบาทเลย
และ
ที่ทรงอนุญาตก็เฉพาะในปัจจันตประเทศเท่านั้น
เป็นประเทศที่กันดารเต็มไปด้วยภูเขาและหินแหลมคมอยู่
ทั่วไป
อีกอย่างหนึ่งถ้าเราสวมรองเท้าจะต้องเพิ่มวินัยอีกหลายข้อ ที่สำคัญผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ท่านไม่เคยสวมรองเท้าผู้เป็นศิษย์ทุกท่านก็ไม่ควรสวมรองเท้าเด็ดขาด
๔. ติรัจฉานวิชชา
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปตั้งตนเป็นอาจารย์สัก
ให้ผู้อื่นสักก็ดี สักเองก็ดี ขึ้นชื่นว่าสักทุกประเภท เช่น
สักว่าน สักน้ำมัน
สักอาคม ลงเลขยันต์ ตามเนื้อตัวทั้งหมด
ห้ามบอกใบ้ให้หวย ห้ามการทำนาย หมอดู
หมอน้ำมนต์ ห้ามนำลัทธิต่างศาสนา
เข้ามาปะปนภายในวัดเด็ดขาด
ห้ามตั้งศาลเทียมตา
ศาลพระภูมิเจ้าที่
ห้ามนำมหรสพทุกชนิดเข้ามาในวัด ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูป เรียนติรัจฉานวิชชาประเภทนี้เด็ดขาด
ถ้าฝ่าฝืนต้องออกจากวัดทันที
๕. หนังสือพิมพ์
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปอ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือนิยาย
หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่ลงข่าวเกี่ยวกับการเมือง และ
บทความบางอย่างไม่เหมาะสม สำหรับพระเณรอ่าน
หนังสือนวนิยายก็เช่นกัน ฉะนั้นพระภิกษุ
สามเณร เสียสละเวลาเข้ามาหาความสงบทางจิตใจ
จึงไม่ควรหาหนังสือประเภทดังกล่าวมาอ่านให้เสียเวลา
ควรหาหนังสือเกี่ยวกับทางพระพุทธศาสนา
มาศึกษาให้เข้าใจ จะได้รู้แจ้งในธรรมคำสอนของสมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือที่ทางวัดอนุญาตให้อ่านได้เช่น พระไตรปิฏก
บุพพสิกขาวรรณา ,มหาขันธกวรรณา
วินัยมุข , พุทธประวัติ ฯลฯ
ควรหาหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมาศึกษาเพื่อหาทางพ้นทุกข์เถิด
๖. วิทยุ โทรทัศน์ เทป ม้วนเทป
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปนำวิทยุ โทรทัศน์ เทป ม้วนเทป
เครื่องบันทึกเสียงที่มีวิทยุติดม้วนเทปเพลง
ม้วนเทปอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ห้ามเด็ดขาด
อนุญาติให้มีได้เฉพาะเครื่องบันทึกเทปและม้วนเทปที่บันทึกคำสอนของครูบาอาจารย์เท่านั้น
๗.กล้องถ่ายรูป
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูป
มีกล้องถ่ายรูปไว้เป็นส่วนตัวเด็ดขาด
ห้ามถือหรือ สะพายกล้องถ่ายรูปไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งภายในวัดและนอกวัด เมื่อต้องการจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ต้องขออนุญาตจากเจ้าอาวาสก่อนแล้วให้ช่างภาพที่เป็นคฤหัสถ์เป็นผู้ถ่ายให้
ถ้ามีความประสงค์จะได้รูปของตนติดกับปูชนียวัตถุ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ควรแสดงความเคารพต่อสถานที่ เช่น นุ่งห่มให้เป็นปริมณฑล นั่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
สำรวมอินทรีย์ให้เป็นที่น่าเลื่อมใส และ ไม่ควรยืนถ่ายรูปในสถานที่สำคัญ รูปที่ได้ออกมาก็เป็นอุดมมงคลกับตัวเอง
ควรเลือกหาสถานที่ปราศจาก ผู้คนพลุกพล่าน
และ ไม่ควรแสดงตนเป็นตากล้องเด็ดขาด
๘. รับแขก
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปรับแขกบนกุฏิ ซึ่งเป็นเขตสังฆาวาส
หรือ เขตบำเพ็ญภาวนา หากมีแขกหรือญาติ พี่น้อง มาเยี่ยมให้ลงพูดคุยที่ศาลา และ
ต้องมีเพื่อนพระภิกษุ สามเณร หรือ ผู้ชายอยู่ด้วยทุกครั้ง
ห้ามพูดคุยกับผู้หญิงสองต่อสองอย่างเด็ดขาด
ห้ามเดินทางไปด้วยกัน
ห้ามนั่งรถส่วนตัวไปไหนมาไหนด้วยกัน
และระหว่างพระภิกษุ
สามเณรด้วยกัน ห้ามจับกลุ่ม คุยกันตามกุฏิ หรือ ส่งเสียงตลกเฮฮา อันก่อให้เกิดความรำคาญกับเพื่อนสหธรรมมิก
ซึ่งกำลังทำความเพียรอยู่
ถ้ามีกิจจำเป็นที่ต้องทำเสียงดัง เช่น ซ่อมกุฏิ
ระบมบาตร ทุบไม้สีฟัน ฯลฯ ต้องทำในระหว่าง 15.00 น.
- 17.00 น. ถ้าต้องทำในระหว่างกลางวันต้องกราบเรียนให้เจ้าอาวาสทราบก่อนจึงทำได้
๙. กุฏิ
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปนำจังหันขึ้นไปฉันบนกุฏิเด็ดขาด
ถ้าอาพาธให้ลงมาฉันที่กุฏิพยาบาล ห้ามนำน้ำหวาน น้ำอ้อย น้ำตาล กาแฟ
น้ำปานะ ขึ้นไปฉันบนกุฏิห้ามสั่งเองโดยพละการถ้าต้องการ ให้สั่งผ่านเจ้าหน้าที่กุฏิพยาบาลทุกครั้ง กุฏิทุกหลังต้องรักษาความสะอาด
ห้ามขีดเขียนให้เกิดความสกปรกเลอะเทอะ
กุฏิทุกหลังห้ามใส่กุญแจเด็ดขาด
เพราะเจ้าภาพกุฏิไม่ได้สร้างถวายองค์ใดองค์หนึ่ง
แต่ได้ถวายไว้ให้แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณร ที่มีอยู่ทิศทั้งสี่ ถ้ากุฏิชำรุดเสียหาย ต้องรีบแจ้งท่านเจ้าอาวาส
เพื่อจะได้สั่งซ่อมต่อไป
๑๐. อโคจร
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปผ่านเข้าไปในเขตที่ทางวัดกำหนดเป็นเขตอโคจรคือ
๑. โรงครัว
๒. เขตที่พักปฏิบัติธรรมฝ่ายขาวดำและสถานที่อื่นๆที่เห็นว่าไม่สมควร
ถ้ามีเหตุจำเป็นจะต้องเข้าไป เช่น
ซ่อมประปา ไฟฟ้าขัดข้อง
หรือเหตุอื่นๆ
ที่ต้องอาศัยพระเณรต้องได้รับ
อนุญาตจากเจ้าอาวาสเสียก่อน และต้องมีเพื่อนพระเณร หรือ
ผู้ชายไปด้วยทุกครั้ง
๑๑. อโคจร
ห้ามพระภิกษุสามเณรทุกรูปออกนอกวัดในวันอุโบสถ หรือ ในวันธรรมดา
ถ้ามีกิจจะออกนอกวัดต้องบอกลาท่านเจ้าอาวาสเสียก่อน
ควรมีพระเณรไปเป็นเพื่อนรับรองความบริสุทธิ์อย่างน้อย 1 รูป
ไม่ควรไปตามลำพังแต่รูปเดียว(เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น)
๑๒. ของสงฆ์
ของสงฆ์ทุกชนิดจะเป็นครุภัณฑ์ หรือ
ลหุภัณฑ์ ก็ดี เมื่อมีผู้นำมาถวาย
ไม่ควรแบ่งสิ่งของเหล่านั้นต่อหน้าญาติโยมหรือในสถานที่ๆ ไม่เหมาะสม
ชาวบ้านเขาจะดูถูกๆได้ว่า
เป็นพระไม่มีระเบียบวินัย
เป็นพระเห็นแก่ลาภสักการะ
มักมากอยากได้ ไม่รู้จักมักน้อยสันโดษ
สิ่งของทั้งหมดที่ได้รับถวายมาควรนำสิ่งของนั้นเข้ารวมไว้เป็นกองกลางสงฆ์เสียก่อน ถ้ามีความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ให้แจ้งกับผู้ทำหน้าที่แจกของสงฆ์อีกทีหนึ่ง
ของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ หรือ ลหุภัณฑ์
ต้องรู้จักถนอมใช้ให้รู้คุณค่าศรัทธาของชาวบ้าน อย่าใช้ทิ้งคว้าง
จะเป็นบาปโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นของที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
๑๓. จดหมายเข้า
– ออก
พระภิกษุสามเณรทุกรูปเมื่อมีความจำเป็นต้องเขียนจดหมาย
ติดต่อภายในวัด หรือ นอกวัดก็ตามต้องนำให้เจ้าอาวาสตรวจเช็คเสียก่อนจึงส่งได้ จดหมายเข้าต้องนำให้เจ้าอาวาสตรวจเช็คก่อน
ถึงมือผู้รับทุกครั้ง
๑๔. วัตรในโรงฉัน
ก่อนอรุณของวันใหม่จะขึ้น
พระภิกษุ สามเณรทุกรูป ควรครองผ้าให้เป็นปริมณฑล บ่าสะพายบาตร
มือถือกาน้ำที่มีน้ำเรียบร้อย มายังโรงฉันวางบาตร และกาน้ำไว้ในที่สมควร แล้วปัดกวาดทำความสะอาดโรงฉัน
ตั้งกระโถนไว้ด้านซ้ายมือ
ตั้งกาน้ำที่มีน้ำสะอาดแล้ว ไว้ด้านขวามือ ปูผ้านิสีทะนะให้เรียบร้อย แล้วปัดกวาดทำความสะอาด บริเวณรอบๆโรงฉัน จนได้เวลาบิณฑบาตรจึงคลุมผ้าให้เป็นปริมณฑล
จึงแยกย้ายกันบิณฑบาตรต่อไปสายละ 5 – 6 รูป โดยเดินเรียงลำดับ
อาวุโส ภันเต ในขณะเดินให้ทอดสายตาลงต่ำ 4
ศอก
เดินสำรวมอินทรีย์ทั้งไปและกลับ
อย่าให้ผิดจาก สมณสัญญาให้สำรวมระวังตามนัย แห่ง เสขิยะวัตร
เมื่อบิณฑบาตรกลับมาถึงวัดแล้วพึงลดจีวรเหลือไหล่เดียวเสียก่อน
จึงค่อยถอดถลกบาตร และ เวลาถอด
ถลกบาตรห้ามคุยกัน
เก็บถลกบาตรไว้ที่นั่งใครที่นั่งเรา
รอเวลาประมาณ 07.30 น. ลงมาพร้อมกัน
ที่โรงฉันเพื่อทำการแจกภัตร
และ ฉันภัตตาหารต่อไป
การฉันภัตตาหารให้ลงมาฉันที่ศาลาที่เดียวห้ามพระภิกษุสามเณร
นำภัตตาหารไปฉันที่กุฏิเด็ดขาด
ภายหลังจากฉันภัตตาหารแล้วให้พระเณรทุกรูปช่วยกันเก็บสิ่งของเข้าที่และ
ปัดกวาดทำความสะอาดโรงฉันแล้วจึงนำบาตรขึ้นไปล้างที่โรงล้างบาตร ห้ามนำบาตรไปล้างที่กุฏิเด็ดขาด ห้ามนั่งห้อยเท้าเช็ดบาตร
ในขณะที่กำลังล้างบาตร
หรือ เช็ดบาตรก็อย่าคุยกัน
ให้สำรวมอินทรีย์อยู่เสมอ เวลาเช็ดบาตรให้เช็ดบาตรด้วยผ้าเปียกก่อน แล้วลงผ้าแห้งตามลำดับ แล้วผึ่งบาตรไว้ให้แห้ง
ทำความสะอาดโรงล้างบาตรเสียก่อน
แล้วจึงครองจีวรให้เรียบร้อย แล้วสะพายบาตรกลับกุฏิต่อไป เมื่อกลับถึงกุฏิเก็บบริขารต่างๆให้เรียบร้อย
ต้องทำความสะอาดกุฏิให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินจงกรม นั่งสมาธิ
ทำความเพียรจนพอสมควรจึงค่อยพักผ่อนตามอัธยาศัย ( ในระหว่างพรรษาเปิดอบรมพระวินัยแก่
พระเณร เวลา 13.00-15.00น.ทุกวัน
ตั้งแต่เวลา
17.00-19.00น. อบรมเรื่องระเบียบ บทสวดมนต์ สมาธิ ทุกๆวัน)
๑๕. กิจวัตร
พระภิกษุ สามเณร
เมื่อถึงเวลา 15.00น.
ให้ทุกองค์ทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณวัด โดยพร้อมเพรียงกัน
ตั้งแต่ที่อยู่อาศัยของตนเองจนถึงบริเวณส่วนกลาง ทำความสะอาดสถานที่ส่วนกลางทุกแห่ง
แล้วทำลงไปจนถึง ลานจอดรถ ถนนทางเข้าวัด แล้วจึงขึ้นมาฉันน้ำที่ศาลา เสร็จแล้ว
จึงแยกย้ายกันกลับกุฏิต่อไป
๑๖. ลงอุโบสถ - ทำวัตรเช้า – เย็น
การลงอุโบสถ ทำวัตรเช้า
เย็น เป็นกิจประจำของพระภิกษุสามเณรดังนั้นทุกองค์ต้องถือว่า
เป็นเรื่องสำคัญยิ่งจะต้องทำเป็นวัตรอยู่เสมอไม่ควรขาด
และไม่ควรให้ครูบาอาจารย์ หรือ พระเถระ
มารอพระผู้น้อย
ตามหลักของผู้ที่มีความเจริญแล้ว
ผู้น้อยต้องลงมาคอยผู้ใหญ่ อย่างน้อย 10 นาที
ทุกครั้ง
เมื่อมีกิจที่ต้องประชุมสงฆ์พระภิกษุ สามเณรทุกรูป
ต้องพร้อมกันมาประชุมเพื่อปรึกษาหารือซึ่งกันและกันไม่ควรให้หมู่คณะส่วนใหญ่
เสียเวลา รอคอย เราเพียงคนเดียว
ควรหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม
เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกประชุมและก็พร้อมเพรียงกันทำกิจของสงฆ์โดยพร้อมเพรียงกัน ควรรู้จักกาลเวลาเป็นของสำคัญ นี้เป็นธรรมะที่ไม่เป็นไปแห่งความเสื่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว
๑๗. จีวร
ผ้าสบง - จีวร - สังฆาฏิ - ผ้าสรงน้ำ ทั้งหลายเหล่านี้ควรรักษาให้สะอาดอย่าให้สกปรก
เหม็นสาบ อย่าปล่อยให้สีซีดขาวควรย้อมให้ได้สีอยู่เสมอ
ผ้าสรงน้ำ มีไว้สำหรับนุ่งสรงน้ำอย่างเดียว ห้ามนำผ้าสรงน้ำมานุ่งแทนสบง ห้ามนำมานุ่งกราดตาด และในกิจอื่นๆทั้งหมด ให้ใช้นุ่งได้เฉพาะเวลาสรงน้ำอย่างเดียว
ผ้าอังสะ ควรใส่ผ้าอังสะอยู่ตลอดเวลา จะกระทำกิจใดๆแล้วแต่ไม่ควรเปลือยกายปราศจากอังสะ
เด็ดขาด
ให้ถอดได้เฉพาะเวลาสรงน้ำอย่างเดียวเท่านั้น
ผ้าสบง ห้ามนำผ้าสรงน้ำ
หรือผ้าอย่างอื่นมานุ่งแทนสบงเด็ดขาด ผ้าสบงที่ถูกต้องต้องมีกุสิ และ
อัฑฒะกุสิโดยถูกต้องและสมบูรณ์จึงจะใช้นุ่งเป็นสบงได้
ผ้าจีวร นุ่งห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อนลงมาจากกุฏิพระภิกษุสามเณรทุกรูป ต้องนุ่งห่มจีวรให้เป็นปริมณฑล ยืน เดิน นั่ง
ให้เป็นระเบียบร้อย
ทุกครั้งก่อนลงมาส่วนกลาง ห้ามลงมาโดยปราศจากจีวร เว้นไว้แต่
เวลาปัดกวาดทำความสะอาดเท่านั้น
ผ้าจีวร ผ้าสบง ผ้าอังสะ
ผ้าสรงน้ำ ห้ามใช้โพกศีรษะ ห้ามมัดเอวพาดบ่า
เยี่ยงฆราวาสเด็ดขาด
ย่าม ย่ามเป็นบริขารอีกอย่างหนึ่งของพระเณร
วิธีถืออย่างนั้น ตามสังคมนิยมนั้นไม่สะพายไว้ที่บ่าซ้ายและบ่าขวา
เพราะดูไม่สุภาพเรียบร้อย
ธรรมเนียมทั่วไปมักใช้คล้องไว้ที่ข้อศอกแขนซ้าย หรืออุ้มไว้ที่
หน้าอกเท่านั้น เมื่ออยู่ในวัดไม่ควรสะพายย่ามลงมาส่วนกลาง
ไม่ควรสะพายย่ามในเมื่อมีกิจไปต่างวัด ต่างสถานที่ และในละแวกบ้าน หรือ
สถานที่สำคัญๆทุกแห่ง เมื่อจำเป็นจะต้องนำย่ามไปด้วย
ให้นำย่ามลงมาคล้องไว้ที่ข้อศอกแขนซ้ายด้วยทุกครั้งในเมื่อไปสู่อาวาสอื่น หรือสถานที่สำคัญๆทุกแห่งและทุกครั้ง
จะสะพายได้เฉพาะคราวตำเป็น
หรือ ในเขตป่าเท่านั้น
ย่ามบางลูกมักปักชื่อบุคคลสำคัญ
หรือมีเครื่องหมายสำคัญๆ หรือปักสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งและ
มักใช้เป็นของที่ระลึกในงานสำคัญๆ จึงถือว่าย่ามเป็นของที่มีเกียรติ และ
มีคุณค่าสูงอย่างหนึ่ง จึงควรแสดงความเคารพ
และไม่ควรยกของต่ำๆข้ามย่าม ไม่ควรเดินข้ามย่ามเด็ดขาด
๑๘. บริขารที่ไม่ควรทิ้ง
ห่อผ้าครอง บาตร กาน้ำ กลด ซึ่งเป็นบริขารส่วนตัว
และเป็นบริขารที่สำคัญมากของพระกรรมฐาน จึงขอให้พระภิกษุ สามเณร
ทุกรูปปฏิบัติกับบริขารเหล่านี้ให้เรียบร้อย ห่อผ้าครอง เมื่อได้อรุณจะวางผ้าครอง ให้วางไว้ที่ตรงที่นั่งของใครของเรา ห้ามวางห่อผ้าครองไว้ในสถานที่อื่นๆ
เด็ดขาดรวมทั้ง ขาบาตร กาน้ำ กลด วางไว้ประจำที่ และ
ภายหลังจากทำภัตตกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วให้พระภิกษุ สามเณร
ทุกรูปนำบริขารทั้งหมดนี้ขึ้นไปเก็บไว้ที่กุฏิให้เรียบร้อย อย่าทิ้งบริขาร
ทั้งหลายเหล่านี้ไว้ที่โบสถ์
โรงฉันที่ล้างบาตร หรือสถานที่ส่วนกลางแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเด็ดขาด
น้ำที่จะใช้ฉันในตอนเช้าต้องกรองให้สะอาด และให้นำน้ำมาเองจากกุฏิ
ท่านจะได้น้ำที่สะอาดบริสุทธิ์จริงๆมาฉัน
๑๙. คารวาตา
การเคารพกราบไหว้ เป็นมงคลอันอุดม
โดยเฉพารพระกรรมฐาน หรือสำนักปฏิบัตินี้
ท่านถือกันมากเรื่องการเคารพซึ่งกันและกัน
ท่านให้ทำความเคารพกันตาม อาวุโส ภันเต
และ ต้องกราบไหว้ตามองค์ของเบญจางค-ประดิษฐ์ คือ ก่อนจะกราบต้องนั่งคุกเข่าให้ตรง
กราบด้วยอาการที่มีสติควบคุม พร้อมกับจรดหน้าผาก
ฝ่ามือทั้งสองเข่าทั้งสองลงที่พื้น 3 ครั้ง อย่ากราบด้วยความมักง่าย
อย่ากราบด้วยความกระรกกระรน แลดูไม่สวยงาม ถ้าหมู่มากควรกราบให้พร้อมเพรียงกัน
พระภิกษุสามเณรทุกรูป
ห้ามเดินตีคู่ ห้ามเดินเป็นหมู่ ห้ามเดินไปพูดไป คล้ายพวกขี้เมา ให้ดินเรียงแถว
และสำรวมทั้งขาไปและขากลับ
๒๐. สมณะโวหาร
ถ้อยคำของสมณะที่ใช้เรียกสิ่งของบางอย่าง ต่างจากถ้อยคำของฆราวาสก็ดี บางที่
ผู้เป็นเหล่าก่อของสมณะเรียกไม่ถูกต้อง ตามสมณะโวหาร ชาวบ้านผู้มิใช่บรรพชิตแต่เขามีความสนใจ
เขาใช้เรียกได้ถูกต้องดีกว่า
ฉะนั้นผู้ที่เป็นบรรพชิตควรสำเหนียก ถ้อยคำของตนให้ดี จึงขอยกมาเป็นอุทาหรณ์ไว้ที่นี้
เป็นบางอย่าง เช่น
โวหารของฆราวาส ว่า โวหารของบรรพชิต ว่า
คุณ
คุณ หรือ โยม
ผม อาตมา
โวหารของฆราวาส ว่า
โวหารของบรรพชิต ว่า
นอน
จำวัด
อาบน้ำ สรงน้ำ
เชิญ
นิมนต์
รับประทาน ฉัน
เงิน
ปัจจัย
และยังมีถ้อยคำอื่นๆ
อีกที่ไม่ใช่สมณะโวหาร ก็ควรเปลี่ยนให้เหมาะสมแก่สมณะและ เรียกให้ถูกต้องต่อไปด้วย
๒๑. อธิกรณ์
เราอยู่ด้วยกันหมู่มากหลายชีวิต หลายตระกูล มารวมกัน ณ
สถานที่แห่งเดียวกันเช่นนี้
ทุกท่านก็มีความตั้งใจมาละความชั่ว
และ มาประพฤติความดี ต่างก็มีจุดรวมอย่างเดียวกัน คือ “ครูบาอาจารย์” จึงควรสมัครสมานสามัคคีกันให้มากที่สุด ไม่ควรสร้างปัญหาให้ครูบาอาจารย์ต้องหนักอกรกใจ ควรทำทุกอย่างให้ท่านเบาใจ ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์นั้นท่านมีภาระหน้าที่ที่ต้องร้บผิดชอบมากมายอยู่แล้ว ผู้เป็นศิษย์ภายในทุกท่านจงช่วยกันถนอมน้ำใจครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด ผู้เป็นศิษย์ทุกท่านไม่ควรจับกลุ่มวิพากวิจารณ์ซึ่งกันและกัน ไม่ควรเพ่งเล็งโทษซึ่งกันและกัน
ควรมองเห็นประโยชน์ของกันและกันให้มากที่สุด หากมีอธิกรณ์เรื่องมัวหมองขัดแย้งกัน
ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันตามอาวุโส
ภันเต ตามผิดถูก ตามหลักของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งมุ่งหวังความเจริญทางด้านจิตใจทั้งหลาย เมื่อท่านผู้ใดถูกว่ากล่าวตักเตือน
จะต้องรับฟังและรีบแก้ไขในความบกพร่องของตนทันที จะต้องไม่ออกเหตุผลคัดค้านหรือ แถลงการณ์แก้ตัวใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่ทำตัวเป็นผู้บอกผู้เตือนก็เหมือนกัน
ควรแนะนำตักเตือนด้วยความมุ่งดี หวังดีซึ่งกันและกันจริงๆ ไม่ใช่ว่าคอยเพ่งเล็งโทษ หรือ
คอยจับผิดซึ่งกันและกัน หากไม่เป็นที่ตกลงกัน
ควรนำเรื่องขึ้นปรึกษาคณะสงฆ์เพื่อเรียกประชุมสงฆ์ เอาอำนาจคณะสงฆ์ผู้ตัดสินชี้ขาด ไม่ควรนำเรื่องประเภทนี้ ไปถึงครูบาอาจารย์เด็ดขาด และอย่าถือว่า เป็นการฟ้องร้องซึ่งกันและกันการชี้บอกโทษของกันและกันนั้น
พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า “เหมือนกับการชี้บอกขุมทรัพย์ประเสริฐมหาศาล” ให้ฉะนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น