วัดป่าธรรมธารา กำแพงเพชร ชีวิตพระป่า
ชีวิตพระป่า
ชีวิตพระป่า
ศจ.นพ.อวย เกตุสิงห์
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
การไม่ทำปาบทั้งปวง
กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลให้ถึงพร้อม
สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
เอตํ พุทธานสาสนํ นี้คือคำสอนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระภิกษุในพระพุทธศาสนาแบ่งออกได้เป็นสองฝ่าย ฝ่ายปริยัติมุ่งศึกษาโดยการท่องบ่นตำรา ส่วนมากอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการเสาะหาอาจารย์ จึงเรียกว่าพระฝ่ายคามวาสี, คือ พระบ้าน, อีกฝ่ายหนึ่งมุ่งศึกษาโดยการกระทำและอยู่ตามป่าตามเขาที่สงบสงัดสะดวกต่อการปฏิบัติ จึงเรียกว่า
พระฝ่ายอรัญวาสี, คือ พระป่า, หรือพระธุดงค์กัมมัฎฐาน, ในหนังสือนี้ใช้ชื่อพระป่าเพราะสั้นและเข้าใจง่าย ตัวพระเองท่านก็ชอบชื่อนั้น เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่ง
วัดป่าอุดมสมพร (สกลนคร) ได้รับนิมนต์ไปเทศน์โปรดทายกทายิกาที่วัดบวรนิเวศวิหาร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ท่านได้ออกตัวว่า อาตมาเป็นคนป่า เทศน์ไม่ดี แต่
พระอุโบสถในวันนั้นแน่นขนัดไปด้วยคนซึ่งตั้งใจไปฟังท่านทั้งนั้น
และยังได้อาราธนาให้ท่านเทศน์ซ้ำในวันหลังอีก คนนิยมฟังท่านเพราะนอกจากท่านมีดีเป็นส่วนตัวแล้ว ท่านยังเทศน์ธรรมะป่าอีกด้วย เทศน์ของพระป่าไม่มีพิธีรีตอง มีแต่เนื้อล้วน ๆ และตรงจุดสุดยอด คือ
เทศน์เรื่องจิตและการอบรมจิตซึ่งนำไปสู่การหลุดพ้นโดยเฉพาะ
ในสมัยพุทธกาลพระทุกองค์คงเป็นพระป่า พระพุทธองค์เองก็ทรงเป็นพระป่า และได้ทรงกำชับสาวกของพระองค์ให้ออกไปสู่โคนไม้
คูหา หรือ เรือนร้าน เพื่อปฏิบัติภาวนา ในสมัยนี้พระส่วนใหญ่เป็นฝ่ายปริยัติ พระปฏิบัติแท้ ๆ นั้นมีน้อยนับตัวถ้วน ทั้งนี้เข้าใจว่า เนื่องจากชีวิตของ
พระป่านั้นลำบากลำเค็ญ ยากที่คนทั่วไปจะทนได้ และอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติที่ดีแท้นั้นหายาก
ในสมัยห้าสิบปีหลังนี้
อาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดน่าจะได้แก่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
แห่งสกลนคร ผู้ได้บำเพ็ญความเพียรในชั้นเอกอุจนบรรลุถึงธรรมชั้นสูงสุด
ดังมีพยานหลักฐานปรากฏอยู่ คือ
อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุดังที่มีบรรยายไว้ว่าเป็นลักษณะของพระอรหันตสาวก
ศิษยานุศิษย์ได้นำมาประดิษฐานไว้ในพิพิธภัณฑ์บริขารที่วัดป่าสุทธาวาสในจังหวัดสกลนคร ก่อนมรณภาพ
(พ.ศ.๒๔๙๒)
ท่านพระอาจารย์มั่นได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ชั้นอาจารย์ไว้เป็นอันมาก
ซึ่งได้สืบต่อระเบียบระบบและวิธีการของท่านมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อศิษย์หลายองค์ถึงแก่มรณภาพ
อัฐิของท่านได้แปรสภาพไปในทำนองเดียวกับของพระอาจารย์มั่น
ปรากฎการณ์เหล่านี้ได้เร่งเร้าความศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเหตุแห่งการฟื้นฟูวัดป่า และชักจูงให้มีผู้บวชเป็นพระป่าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ศิษย์เอกองค์หนึ่งที่ท่านพระอาจารย์มั่นไว้วางใจ คือ
ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านผู้นี้บำเพ็ญบารมีในทางพระป่ามาตั้งแต่ต้น
และได้รักษาข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตราบสิ้นชีวิต ตลอดเวลากว่าห้าสิบปี ท่านได้มีชีวิตอยู่แต่ในวัดป่าและได้จาริกไปในเขตแคว้นทุรกันดารต่าง
ๆ แทบทั่วประเทศ
คุณธรรมของท่านได้ปรากฏแก่คนทั้งหลายจนเป็นที่เลื่องลือไปทุกหนทุกแห่ง
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าท่านเป็นพระป่าที่ยอดเยี่ยมองค์หนึ่งในสมัยนี้
ในโอกาสถวายเพลิงศพของท่านในเดือนมกราคม ๒๕๒๑ ผู้เขียนเห็นสมควรจะนำความเป็นอยู่ของพระป่ามาเผยแพร่เพื่อผู้ที่ยังไม่ทราบจะได้ทราบว่าการเป็นพระป่านั้นหมายความว่าอย่างไร และท่านพระอาจารย์ฝั้นต้องผ่านภาวการณ์ต่าง
ๆ อย่างไรบ้างก่อนที่จะได้มาเป็น ท่านอาจารย์ใหญ่
ดังที่พระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่นได้ถวายสมญาไว้ ผู้เขียนอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวจากการอยู่ใกล้ชิดกับพระกัมมัฏฐานในเวลาร่วมยี่สิบปี ประกอบกับคำบอกเล่าและประวัติของพระอาจารย์
ผู้ใหญ่หลายท่าน
หวังว่าจะสามารถเสนอภาพที่ใกล้ความจริงได้
ถ้าหากมีข้อผิดเพี้ยนประการใด
ขอความกรุณาให้ท่านผู้รู้โปรดแนะนำเพื่อแก้ไขในโอกาสต่อไป
การเข้าเป็นพระป่า
การเริ่มต้นชีวิต แบบพระป่าอาจทำได้สองวิธี
วิธีที่หนึ่งบวชเป็นพระภิกษุเสียก่อนในที่อื่นแล้วขอไปพำนักในวัดป่า ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่ คือ สมภารอนุญาต ก็ได้ตั้งต้นตามต้องการ โดยมากวัดที่มีชื่อเสียงดี ๆ นั้นจะเข้าวิธีนี้ยากมากเพราะท่านอาจารย์ใหญ่จะต้องสอบสวนความประพฤติและประวัติเสียก่อนจนเป็นที่พอใจจึงอนุญาต
ข้อสำคัญที่พิจารณา คือ
การปฏิบัติตามพระวินัยและอุปนิสัยที่เหมาะกับการเป็นพระป่า ท่านอาจารย์บางองค์เคร่งครัดมาก ถ้าสงสัยก็ไม่รับเสียเลย เพราะเกรงจะเข้าไปทำพระของท่านปั่นป่วนไปด้วย ผู้เขียนเคยเห็นและเคยทราบรายหนึ่ง
มีฝรั่งบวชและจำพรรษาอยู่ในวัดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเป็นเวลาหลายพรรษาจนท่านเจ้าอาวาสไว้วางใจมาก
เกิดอยากไปอยู่วัดป่าแห่งหนึ่งที่วินัยเคร่งครัด จึงขอจดหมายเจ้าอาวาสแนะนำไป ท่านอาจารย์วัดป่าพิจารณาแล้ว ไม่รับ
ขอครั้งที่สองก็ไม่รับ
ครั้งที่สามก็ไม่รับอีก
พอดีท่านอาจารย์วัดป่าเข้ากรุงเทพฯ
มาพักอยู่ที่วัดใหญ่ที่กล่าวถึงพระฝรั่ง
ขอให้เจ้าอาวาสไปฝากด้วยตนเอง
ท่านอาจารย์วัดป่าก็เลยต้องรับอย่างไม่เต็มใจปรากฏว่าพระรูปนั้นไปอยู่ได้ไม่นานก็หนีกลับ เพราะทนระเบียบของวัดไม่ไหว
ผู้ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์องค์นั้นเชื่อว่าท่านคงพิจารณาเห็นล่วงหน้าแล้วว่าพระรูปนั้นไม่ดีจริง ท่านไม่อยากเสียเวลาจึงไม่รับเสียตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม
วิธีนี้เป็นวิธีที่พระส่วนมากผ่านเข้าสู่วัดป่า คือ
บวชมาจากที่อื่น
ทั้งนี้เพราะสมภารวัดป่าส่วนมากไม่ได้รับอนุญาตเป็นอุปัชฌาย์ ไม่ใช่เพราะท่านไม่สามารถ แต่เพราะท่านไม่สนใจ ท่านใฝ่ใจแต่จะอบรมลูกศิษย์ของท่าน พวกนี้จึงต้องบวชมาจากวัดอื่น
แต่โดยมากมักไปขออนุญาตเสียก่อนเป็นการล่วงหน้าว่าบวชแล้วจะมาอยู่ด้วย
วิธีที่สองที่เริ่มจะเข้าเป็นพระป่าคือวิธี ผ้าขาว
หรือหัดมาตั้งแต่เบื้องต้น
วิธีนี้มีผู้ใช้มากเหมือนกัน
โดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่ยังไม่แน่ใจนักว่าจะทนชีวิตพระป่าไหว หรือพวกเด็ก ๆ
ที่อยากจะลองชีวิตในวัดดูบ้าง
ผ้าขาว หรือ ปะขาว
คือผู้ปวารณาตัวเป็นอุบาสก
ถือศีลแปดและอาศัยอยู่ในวัดทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์พระและฝึกการปฏิบัติไปด้วย
ต้องทำหน้าที่ให้เรียบร้อยเป็นที่พอใจของสมภารหรืออาจารย์ที่เป็นผู้ปกครอง จึงจะได้รับอนุญาตให้บวช วิธีนี้ดีที่อาจารย์มีเวลาศึกษานิสัยใจคอให้แน่ใจว่าจะเป็นพระป่าได้ดีและถูกต้องจริง ๆ
เสียก่อน
บางคนเป็นผ้าขาวได้สองสามเดือนก็บวช
บางคนเป็นอยู่นับปี
บางคนที่ไม่มีทุนพอก็ต้องเป็นผ้าขาวอยู่จนพบผู้อุปการะจัดการบวชให้ บางคนเริ่มด้วยเป็น ผ้าขาวน้อย
ตั้งแต่อายุสิบหรือสิบเอ็ดขวบ
พอรู้เรื่องวัดดีก็บวชเป็นเณร
เมื่ออายุครบก็บวชเป็นพระ
ท่านเหล่านี้มักจะมีความคล่องแคล่วเป็นพิเศษทั้งในการรับใช้พระอาจารย์และปฏิบัตภาวนา
เป็นที่น่าสังเกตว่าในวัดป่ามักไม่ค่อยมีลูกศิษย์พระทั้งนี้เพราะพวกลูกศิษย์ถือแค่ศีลห้าบางทียังไม่ค่อยครบ มักรบกวนการปฏิบัติของพระด้วยประการต่าง ๆ พระป่าท่านจึงไม่ค่อยนิยม
การอยู่
– วัดป่า
วัดป่าเป็นคนละอย่างกับวัดบ้าน สำหรับผู้ที่เคยไปเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่กระทบจิตใจ เมื่อย่างเข้าเขตวัดป่า คือ
ความร่มรื่น
ซึ่งเกิดขึ้นจากต้นไม้น้อยใหญ่ที่เป็นสวนป่าในวัด มีวัดป่าน้อยแห่งที่มีป่าในวัด
วัดเช่นนี้มองจากสายตาของนักธุดงค์กัมมัฏฐานคงไม่เป็นที่น่าพอใจนัก สิ่งกระทบใจประการที่สอง
คือ ความสะอาดและมีระเบียบ ถนนและทางเดินเตียนโล่ง ไม่มีกิ่งไม้ใบไม้ร่วงหล่นเกลื่อนกลาด ดังที่น่าจะเป็น เพราะมีต้นไม้อยู่โดยรอบ
แม้กระทั่งส้วมซึ่งวัดที่ยากจนยังใช้แบบของชาวบ้าน ก็ยังรักษาความสะอาดได้ดี ในวัดที่ฐานะดี มีส้วมราดน้ำแบบทันสมัย
ส้วมของบ้านในกรุงบางบ้านอาจจะสะอาดน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ
ความรู้สึกประการที่สามที่บังเกิดแก่ผู้ไปเยี่ยม คือ ความเงียบ
บางเวลาเงียบจนกระทั่งใบไม้ตกก็ได้ยินเสียงดัง ปึ้ก
เสียงพูดคุยกันดัง ๆ
เหมือนตามบ้านไม่มีโอกาสจะได้ยินเลย
เวลาที่พระป่าจะพูดคุยกัน
ก็มีเวลาเตรียมฉันจังหัน
เวลานัดดื่มน้ำในตอนบ่าย
และเวลาพร้อมกันปัดกวาดถนนหนทางและลานวัด
ถ้าเห็นพระสอง หรือ สามองค์สนทนากันอยู่
ก็ฟังแต่ไกลไม่รู้เรื่องว่าท่านพูดอะไรกัน
เพราะท่านพูดค่อยมาก
พระตะโกนเรียกกันหรือคุยกันสนุกสนานเฮฮา
เป็นเรื่องที่ไม่ได้พบเลย
เมื่อประมาณเจ็ดแปดปีมาแล้วมีสตรีชาวต่างประเทศผู้หนึ่งสนใจอยากดูชีวิตของพระป่า
ได้ขออนุญาตเป็นทางการเข้าไปพักอยู่ในวัดแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในความเคร่งวินัย สตรีผู้นั้นไปอยู่ได้เจ็ดวันก็กลับ และไปรายงานต่อพระเถระผู้ใหญ่บางองค์และเจ้านายว่าวัดที่ไปดูมานั้นใช้ไม่ได้เลย สมภารปกครองไม่ดี ลูกวัดแตกความสามัคคีกันหมด แม้แต่เวลาฉันจังหันก็ไม่มีใครพูดจาอะไรกัน ดังนั้น
ความดีก็กลายเป็นความไม่ดีไป
ยกเว้นลักษณะเป็นป่า มีต้นไม้ร่มครึ้มซึ่งคล้าย ๆ กันทุกวัด วัดป่าแต่ละวัดก็มีภูมิประเทศและบริเวณแวดล้อมแปลก ๆ
กันไป บางแห่งมีป่าล้อมรอบ มีที่ว่างเฉพาะบริเวณกุฏิ บางแห่งมีพื้นที่คล้ายสวน
เป็นที่ราบมีแต่ต้นไม้ขนาดกลางขึ้นอยู่ทั่วไป บางวัดอยู่ที่เชิงเขา บางวัดอยู่บนไหล่เขา
บางวัดขึ้นไปถึงยอดเขา แต่ละวัดก็มีข้อเสียข้อดีประจำ เช่น
วัดอยู่ที่ราบ
ไปมาสะดวกแต่อากาศอบอ้าวและทึบ
วัดอยู่บนเขาจะไปไหนแต่ละทีต้องเหนื่อยหอบ
แต่มักจะอากาศดีปลอดโปร่งเย็นสบายชวนให้ปฏิบัติได้มาก
การที่พระภิกษุรูปใดจะเลือกวัดไหน
เหตุผลสำคัญที่สุดคือพระอาจารย์ของวัดนั้นจะต้องมีธรรมะสูง และมีอุปนิสัยถูกกัน เชื่อว่าจะถ่ายทอดความรู้และแนะนำแก้ไขข้อปัญหาในการปฏิบัติได้ รองลงไปได้แก่ทำเลและลักษณะอื่น ๆ ของวัด
ตลอดจนลมฟ้าอากาศ
และอันดับที่สามได้แก่ลักษณะของสหธรรมิก
(พระร่วมศึกษาด้วยกัน) ซึ่งจะต้องไปด้วยกันได้ แม้วัดจะเป็นที่อยู่ที่ไม่ค่อยสบายนัก แต่ถ้าอาจารย์ดีและสอนเก่ง ผู้หวังก้าวหน้าก็ยังพอทนได้ ถึงแม้วัดจะสวยงามอากาศดี มีความสะดวกสบาย แต่ถ้าอาจารย์ไม่ถูกนิสัยกัน สอนกันไม่ได้
ก็ไม่มีใครยอมอยู่ ทั้งนี้ เพราะพระป่านั้นบวชเพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่ออยู่ไปวันหนึ่ง ๆ จึงไม่ใคร่ยอมเสียเวลาถ้าเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่ได้ผล
การขบฉัน
ผู้เขียนเคยได้ยินพระบ้านบางรูปแสดงคติว่าเป็นพระต้องกินอย่างเสือ คือ
เวลามีน้อยก็ต้อง
ทนหิว ถึงเวลามีมากก็ต้องกินให้เต็มที่ พระป่าท่านมีคติอีกอย่างหนึ่งไม่ว่าวันไหน ลาภจะมากน้อย
เท่าใด ต้องฉันน้อยเอาไว้ แม้จะมีอาหารล้นเหลือก็ไม่ยอมฉันจนอิ่มตื้อ เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะง่วง ภาวนาไม่ได้
ข้อนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ
ถ้ามีอาหารมากในกระเพาะและลำไส้
เลือดจะไปเลี้ยง
ที่นั่นมาก สมองจะมีเลือดน้อย ทำให้เกิดอาการง่วงและซึม
เพราะฉะนั้นอาหารจึงเป็นศัตรูของการเจริญภาวนา พระป่าจึงถือหลักฉันน้อยเป็นประจำ ยิ่งในระหว่างที่เร่งความเพียร เช่น ระหว่างพรรษายิ่งฉันน้อยลงไปอีก บางองค์ไม่ฉันเสียหลาย ๆ วัน
ท่านว่าจิตโปร่งและภาวนาได้ดีขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวัดป่าที่มีพระอดอาหารพร้อม
ๆ กันหลายองค์ บางองค์สามวันเจ็ดวัน บางองค์อด
สองสามสัปดาห์ก็มี
อย่างไรก็ตาม การอดอาหารอาจไม่เหมาะสำหรับบางคน
อย่างเช่นท่านอาจารย์ฝั้นท่านพบว่าอดแล้วกับปฏิบัติไม่ได้ ท่านจึงเลิกอดและไม่คาดคั้นลูกศิษย์องค์ใดให้อด ปล่อยให้ลองดูเอาว่าอดดีหรือไม่อดดี แต่ท่านเป็นนักค้นคว้าทดลอง ในเรื่องอาหารเหมือนกัน ครั้งหนึ่ง
เมื่ออยู่บนถ้ำขามท่านไม่ฉันอาหารอื่น
ฉันแต่หน่อไม้สดต้มจิ้มน้ำปลา
ฉันอยู่หลายเดือนและสบายดี
นอกจากระวังไม่ฉันมาก พระป่าท่านยังระวังไม่ให้ติดรสอาหารด้วย โดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่อร่อย ทั้งนี้เพราะเกรงว่าจะ ติดสุข
ในเวลาฉันต้องพิจารณาตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอน พูดง่าย ๆ
ว่ากินเพื่ออยู่
เพราะฉะนั้นท่านจึงเงียบสงบระหว่างฉัน
ไม่สนทนาพาทีอะไรกันเพราะท่านต้องเพ่งเล็งที่อาหารไปด้วย
วัดป่าในสายท่านอาจารย์มั่นมีระเบียบเกี่ยวกับการฉันเป็นอย่างเดียวกัน คือ
ฉันมื้อเดียวในตอนสาย
ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตและฉันในบาตร
มีเฉพาะน้ำและสิ่งที่ใช้ดื่มเท่านั้นที่เอาใส่ถ้วยไว้นอกบาตรได้ เพราะฉะนั้นพระป่าต้องออกบิณฑบาตทุกวัน นอกจากอาพาธหรือเดินไม่ได้ ตามธรรมดาวัดป่าต้องอยู่ห่างหมู่บ้าน เพื่อให้พ้นจากการรบกวนจากคน
สัตว์และเสียงและต้องไม่ไกลเกินไปจนเดินไปบิณฑบาตไม่ไหว
โดยมากเว้นระยะห่างจากหมู่บ้านประมาณสองถึงสามกิโลเมตร
ซึ่งพอจะเดินไปกลับได้ภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ตามปกติออกจากวัดประมาณ ๖ น. เศษ (หกนาฬิกาเศษ) หลังจากทำความสะอาดตอนเช้าเสร็จ
ก่อนจะออกต้องจัดบาตรให้พรักพร้อมโดยผูกมัดบาตรให้แน่นและเรียบร้อย พระป่าท่านสะพายบาตรเวลาไปบิณฑบาตเพราะระยะทางไกลและขากลับบางทีบาตรหนักมาก เวลาออกจากวัดเดินไปเป็นกลุ่ม พระผู้น้อยอยู่ข้างหน้า ผู้ใหญ่อยู่ข้างหลัง พอเข้าเขตบ้าน
พระข้างหน้าหยุดคอยให้ผู้ใหญ่ขึ้นไปนำเดินเข้าหมู่บ้านเป็นแถวเรียงหนึ่งตามลำดับอาวุโส และรับอาหารโดยมีระเบียบน่าดู เมื่อรับไปทั่วแล้ว ก็วกกลับวัด
บางทีพระผู้น้อยรับบาตรของพระผู้ใหญ่ไปสะพายแทน
บางทีชาวบ้านขออาสาสะพายหรืออุ้มไปให้จนถึงวัด ทุกองค์ขึ้นไปรวมบนศาลาที่นั่งฉัน แล้วเข้าที่นั่งฉันและจัดอาหารลงบาตร ที่นั่งนั้นได้จัดปูอาสนะไว้เรียบร้อยก่อนออกบิณฑบาต ดังนั้นพอมาถึงก็เก็บเข้าที่ได้เลย นั่งเรียงกันตามลำดับอาวุโส
พระทุกองค์ถ่ายบาตรเอาอาหารใส่ลงในถาดที่วางไว้เป็นของกลาง
พระเจ้าหน้าที่ยกถาดไปถวายท่านสมภารให้หยิบก่อน แล้วส่งต่อไปตามลำดับ โดยวิธีนี้พระทุก ๆ
รูปตั้งแต่ผู้น้อยจึงมีโอกาสได้อาหารอย่างเดียวกัน
อาหารที่เลือกเอาไว้นั้นแต่ละรูปจัดลงในบาตรสำหรับที่จะฉันต่อไป การจัดการอาหารลงบาตรนี้แตกต่างกันไป บางองค์วางเรียงกันแยกเป็นสิ่ง ๆ (ภายในบาตร) บางองค์วางสุม ๆ
ลงไปที่ขั้นอุกกฤษฎ์นั้นคลุกเคล้าทุก
ๆ
อย่างเข้าด้วยกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งนี้เพื่อตัดเรื่องความอยากความน่ากิน
และความอร่อยให้หมดไป
ในสมัยที่ผู้เขียนและเพื่อน ๆ ไปวัดป่าครั้งแรก
ๆ พระท่าน ยังอัตคัดเรื่องอาหารมาก เราอยากให้ท่านได้ฉันของแปลก ๆ
จึงช่วยกันทำข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียนไปถวายองค์ละชาม พระท่านรับประเคนไปแล้ว เรานึกว่าท่านจะวางเอาไว้ฉันทีหลัง ท่านกลับเอาเทลงไปในบาตรหมดทั้งชาม พวกเรานึกสงสารว่าไปทำให้ท่านฉันลำบากมากขึ้น
ตั้งแต่นั้นไม่กล้าถวายของฉันที่เป็นน้ำและมีกลิ่นแรงอีกเลย
เมื่อจัดอาหารลงบนบาตรเสร็จแล้วเอาผ้าปิดปากบาตรไว้ คอยจนเสร็จพร้อมกัน องค์ที่เป็นประธานว่ายถาสัพพี (บางวัดประธานว่ายถา องค์อื่นพร้อมพันว่าสัพพี) เสร็จแล้วจึงเปิดผ้าคลุมปากบาตรขึ้นพร้อม
พิจารณาอาหารในบาตรตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เช่นให้สำนึกว่าฉันเพื่อ
ให้คลายทุกข์ที่เกิดจากความหิวไม่ใช่เพื่อรสอร่อย ฯลฯ
เสร็จแล้วจึงลงมือฉันระหว่างนั้นไม่มีใครพูด เพราะต่างองค์ต้องพิจารณาไปเรื่อย ๆ
ใครฉันเสร็จก็เช็ดถูพื้นศาลาตรงบริเวณที่ตัวนั่ง ยกบาตรออก
เอาเครื่องปูลาดเก็บเข้าที่ อาหารเหลือก้นบาตรเทลงถาดมอบแก่ผู้ที่ต้องการ
(อาหารก้นบาตรอาจารย์ผู้ใหญ่ ๆ
มีคนคอยแย่งกัน เพราะเชื่อว่ากินแล้วจะเจริญในธรรมและมีสติปัญญาดี) บาตรนั้นนำไปล้างและเช็ดถูจนสะอาด คว่ำผึ่งแดดให้แห้ง
วิธีอนุโมทนา (คือว่ายถาสัพพี) เสียก่อนฉัน
นี้เหมาะสำหรับทายกทายิกาที่มีการงานประจำวัน คือ
พอพระอนุโมทนาเสร็จแล้วพวกทายกก็เอาอาหารที่เหลือจากพระไปลงมือกินได้เลยไม่ต้องรอพระฉันอิ่มและอนุโมทนาเสร็จเสียก่อนดังที่ปฏิบัติอยู่ตามวัดทั่ว
ๆ ไป
ตามวิธีของพระป่า
บางทีพระยังฉันไม่เสร็จ
ชาวบ้านก็กินข้าวอิ่มและแยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว
บาตรเป็นบริขารที่สำคัญยิ่งสำหรับพระป่า จะไปไหน
ๆ แม้จะรีบร้อนเพียงใดต้องจัดเอาไปด้วยเสมอ
บาตรของท่านมักจะใหญ่กว้างกว่าบาตรของพระบ้าน ไม่ใช่เพราะพระป่าฉันมากกว่าพระบ้าน แต่เพราะท่านถือธุดงค์ฉันในบาตร
ถ้าบาตรแคบก็จัดอาหารและฉันไม่สะดวกนอกจากนั้นเวลาท่านเดินทางเช่นไปธุดงค์ ท่านยังใช้บาตรแทนกระเป๋าเดินทาง บรรจุเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ
แล้วสะพายไป เป็นความสะดวกมาก
เพราะฉะนั้นท่านต้องรักษาบาตรให้สะอาดอยู่เสมอ พอฉันเสร็จแล้วก็รีบล้างฟองสบู่หรือผงซักฟอกให้หมดกลิ่น เช็ดขัดให้สะอาด แล้วผึ่งแดดให้แห้งสนิท ต้องรักษาไม่ให้เกิดสนิม ถ้าเกิดขึ้นต้องทำพิธี ระบม
คือ สุมด้วยไฟฟืนจนหมดสนิม เสียเวลาและเปลืองฟืนมาก
เกี่ยวกับเรื่องบาตร ท่านอาจารย์ฝั้น
เคยเล่าให้ฟังว่าในสมัยเมื่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศฯ) เป็นเจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี มีผู้ฟ้องถึงท่านว่าพระกัมมัฏฐาน ที่จังหวัดนั้นไม่ประพฤติตามแบบฉบับของพระธรรมยุต
เช่น เวลาบิณฑบาตก็ใช้วิธีสะพายบาตรแทนที่จะอุ้ม
และข้ออื่น ๆ อีกหลายข้อ สมเด็จฯ
ท่านสนใจพระกัมมัฏฐานอยู่แล้ว
จึงเดินทางไปยังวัดที่ถูกฟ้องซึ่งตอนนั้นท่านอาจารย์กงมา จิรปุญโญ
เป็นสมภาร
เมื่อได้ซักถามดูก็ทราบความจริงว่าพระป่าท่านสะพายบาตรเวลาเดินไปจากวัด เพราะท่านต้องไปไกลมาก
แต่พอถึงตอนรับบาตรท่านก็ปฏิบัติเหมือนพระธรรมยุตทั้งหลาย ข้ออื่น ๆ
ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจผิด
พอดีท่านอาจารย์กงมากำลังจะออกธุดงค์
สมเด็จฯ จึงขอไปด้วย ท่านอาจารย์ก็จัดกลดและบริขารอื่น ๆ ที่จำเป็นให้
ไปค้างแรมอยู่ในป่าแขวนกลดไว้ห่างกันพอสมควร
คืนนั้นฝนตกอย่างหนักจนกลดไม่สามารถจะกั้นไว้ได้ สมเด็จฯ
เปียกไปทั้งตัว บริขารต่าง ๆ
ก็เปียกปอนไปด้วย
รุ่งขึ้นเช้าต้องครองจีวรทั้งเปียก ๆ
พอไปพบกับท่านอาจารย์กงมา สมเด็จฯ
ก็ประหลาดใจว่า ทำไมจีวรของท่านแห้งดีเหมือนกับไม่ได้ถูกฝนเลย
ท่านจึงแอบถามเณรว่าท่านอาจารย์มีคาถาอะไรดีหรือ จึงไม่เปียกฝน เณรก็รับสมอ้างว่าท่านคงมีคาถากันฝนเปียกหลังจากได้พิจารณาใกล้ชิดแล้วเห็นว่าจีวรของท่านอาจารย์กงมาไม่เปียกจริง
ๆ สมเด็จฯ ก็อดถามท่านไม่ได้ว่าใช้คาถาอะไรจึงไม่เปียกฝน ท่านอาจารย์กงมายิ้มบอกว่าขอรับ เกล้ากระผมมีคาถา แล้วหยิบบาตรขึ้นให้สมเด็จ ฯ
ดูและบอกว่านี่แหละครับ
คาถาของเกล้ากระผม
ที่แท้ท่านอาจารย์เป็นพระป่าท่านมีประสบการณ์มากพอฝนตกท่านก็เอาจีวรและสังฆาฎิใส่บาตรปิดฝาไว้จึงไม่เปียกเลย
แม่ขาว
เมื่อผู้เขียนและเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมวัดป่าเป็นครั้งแรก ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมอะไรแปลก ๆ หลายอย่าง
วันแรกที่ขึ้นไปบนศาลาตอนจังหัน
พวกผู้ชายก็ไปช่วยยกอาหารส่งอาหาร
ประเดี๋ยวพวกเราคนหนึ่งถือกระท้อนออกมาจากวงพระ แล้วบอกว่าท่านจะเอากะปิ เราพากันสังสัยว่า พระที่นี่ทำไมต้องฉันกะปิกับกะท้อน เราไม่รู้จะไปหาที่ไหน เพื่อนคนนั้นก็กลับไปบอกพระว่ากะปิไม่มี ท่านอาจารย์จึงบอกว่าไม่ใช่กะปิ ให้เอาไปทำกัปปิยะ (คือแกะเปลือกเสียให้ถูกต้องตามพระวินัย)
อีกตอนหนึ่งพวกเราสงสัยเป็นกำลังว่าทำไมผู้หญิงเมืองนี้ชอบชื่อขาว เดี๋ยวพระองค์นี้ให้เอาของสิ่งนั้นไปให้แม่ขาว แล้วชี้ไปที่แม่ชีคนหนึ่ง
เดี๋ยวพระอีกองค์ให้เอาของอีกอย่างไปให้แม่ชีอีกคนหนึ่ง ชื่อแม่ชีขาวเหมือนกัน แม่ชีคนที่สามก็ชื่อขาว เพื่อนที่เป็นชาวเมืองนั้น
ต้องอธิบายจึงทราบว่าแม่ชีนั้นทางภาคอีสานเขาเรียกว่าแม่ขาว ทำนองเดียวกับพ่อขาวหรือผ้าขาวและผ้าขาวน้อย
เนื่องจากวัดป่าส่วนมากไม่มีลูกศิษย์ มีแต่ผ้าขาวซึ่งไม่มีความรู้เรื่องการครัว
แม่ขาวจึงมีบทบาทสำคัญมากสำหรับวัดที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านและอัตคัดเรื่องบิณฑบาต ต้องอาศัยทำอาหารเองเพิ่มเติมให้เพียงพอ แม่ขาวส่วนมากเป็นญาติของสมภารหรือพระองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งตามออกมาอยู่วัด ถ้ามีจำนวนน้อยแม่ขาวขึ้นตรงกับสมภาร
ถ้ามีมากสมภารก็ตั้งคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้า ปกครองกันเอง
และจัดการปลูกกุฏิเป็นนิคมแม่ชีขึ้น
แม่ขาวทำประโยชน์ให้แก่วัดมากนอกจากทำจังหันให้ฉันแล้ว ยังทำน้ำอัฎฐบานสำหรับดื่มนอกเพล จัดดอกไม้บูชาพระ ฯลฯ
ถ้าหากไม่มีแม่ขาว
บางวัดแทบจะตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะพระจะต้องอดอยากมาก
แต่แม่ขาวเองก็ต้องลำบากไม่น้อย
และบางคนต้องอุทิศตัวให้แก่พระศาสนาไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระเท่าไหร่นัก
แม่ขาวต้องถือศีลแปดและรับประทานอาหารมื้อเดียวเหมือนพระ แต่ต้องตื่นแต่มืดเพื่อหุงหาอาหาร นำไปถวายพระ
เก็บเอาภาชนะไปทำความสะอาดแล้วก็ทำงานอื่นต่อไป เช่น ปัดกวาด
ทำสวน พรวนดินรดน้ำ
เข้าป่าขึ้นเขาไปเก็บหน่อไม้และผักในป่า
ฯลฯ ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวทั้งวันแล้วก็ต้องภาวนาและเดินจงกรมทำนองเดียวกับพระ นับว่าแม่ขาวต้องทำงานหนักมากจริง ๆ บางคนปฏิบัติได้ผลจนบรรลุถึงธรรมชั้นสูง เป็นที่ยกย่องและเป็นตัวอย่างของพระก็มี ขณะเดียวกันคนส่วนมากไม่ค่อยนึกถึงแม่ขาว
เพราะเห็นเข้าก็นึกถึงแต่แม่ชีที่เห็นอยู่ในบ้านในเมืองไม่ค่อยจะเกิดความศรัทธา ก็เลยไม่ได้ศึกษาถึงความเป็นอยู่และฐานะของแม่ขาว แม่ขาวจึงถูกมองข้ามไป ทั้ง ๆ
ที่เป็นกระดูกสันหลังของวัดเช่นเดียวกับชาวนากระดูกสันหลังของชาติที่ไม่ค่อยมีคนเอาใจใส่
การอบรมและการปฏิบัติ
การอบรมของพระป่า ดำเนินตามหลักไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา
โดยเคร่งครัด ตัวจักรสำคัญที่สุดในการนี้คือพระอาจารย์
ซึ่งเป็นผู้ที่พระป่าต้องพยายามเสาะหาอย่างยิ่งเพื่อจะได้องค์ที่เหมาะสม สิ่งสำคัญในอาจารย์ที่ต้องเสาะหา
ไม่ใช่เพียงแต่ความรู้และประสบการณ์เท่านั้น
แต่ต้องได้อุปนิสัยใจคอที่เข้ากันได้อีกด้วย นอกจากนั้น
ยังมีเรื่องความสามารถในการอดทนต่อกัน
การสอนที่ปลอดโปร่ง
แม้กระทั่งคำพูดและวิธีการพูดที่ทำให้เข้าใจกันง่าย บางคนเชื่อว่าเกี่ยวกับบารมีของแต่ละคน
หรือความเคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาแต่ปางก่อน จะอย่างไรก็ตาม
ที่เคยพบมานั้นมีพระบางรูปท่องเที่ยวไปตามวัดต่าง ๆ วัดแล้ววัดเล่า ก็หาอาจารย์ที่ถูกใจยังไม่ได้ ส่วนพระองค์อื่นพอเข้าไป
วัดแรกก็พบอาจารย์ที่เหมาะแล้ว ก็อยู่ด้วยกันนับสิบ ๆ ปี
เป็นความจริงว่าในชีวิตของพระป่า
อาจารย์เป็นผู้ชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น พระภิกษุองค์ใด
องค์หนึ่งจะติดขัดอัดอั้นไม่ได้ผลอะไรเลย
ในการภาวนา
หรือ จะวิเศษเลอเลิศ หรือ แม้ถึงวิมุต
หลุดพ้นก็เพราะอาจารย์
ในการปฏิบัติภาวนานั้นยากนักยากหนาที่ผู้ปฏิบัติจะบุกฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ นานา
ไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้โดยลำพังตน
ในตอนแรก ๆ
อาจได้ผลดีอย่างราบรื่น แต่พอ
ไปได้สักระยะหนึ่งก็มักจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นในรูปของนิวรณ์ที่ทำให้ติดขลุกขลักไม่ก้าวหน้า หรือ
นิมิตต่าง
ๆ
ที่ชวนให้หลงใหลเพลิดเพลินจนพลาดออกไปนอกทางโดยลำพังผู้ปฏิบัติเป็นการยากหรือแม้เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขเรื่องแทรกซ้อนต่าง
ๆ ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องมีอาจารย์คอยช่วยแนะนำ อาจารย์จะต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญมากและเคยผ่านปัญหาต่าง ๆ นั้น
มาก่อนแล้วด้วยตนเอง
มิฉะนั้นจะไม่สามารถแก้ปมที่ลึกลับได้ คนอย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเมื่อมีอาจารย์ดีอยู่ที่ไหน
พระป่าก็จะพยายามเข้าไปอยู่ที่นั่นเพื่อฝากตัวกับท่าน เมื่อท่านรับเอาไว้แต่ละรูปจะต้องใช้เวลาและโอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุด นอกจากฟังคำสอนรวมกันแล้ว
จะต้องพยายามซักถามอาจารย์เกี่ยวกับปัญหาของตนให้ปลอดโปร่งไปให้ได้ อาจารย์ที่ดีย่อมให้โอกาสแก่ศิษย์ทุกคน
ตั้งใจอบรมสั่งสอนและแนะช่องทางสำหรับการก้าวหน้า นอกจากนั้นยังเอาใจใส่ในสารทุกข์สุกดิบการกินการอยู่ การเจ็บไข้ได้ป่วยและความต้องการอื่น ๆ
พระป่านั้นส่วนไม่น้อยมาจากป่าจริง ๆ
บางองค์ท่านอ่านหนังสือไม่ออก
บางองค์ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ
ติดตัวมาเลย
แม้แต่อัฐบริขารรวบรวมได้อย่างแสนเข็ญ
อาจารย์ต้องแผ่เมตตาธรรมแก่ลูกศิษย์ทุก ๆ
รูป และให้ความอนุเคราะห์ทุก ๆ อย่าง
ท่านต้องทำตัวเป็นทั้งพระอาจารย์และพ่อแม่
และศิษย์ก็ตอบแทนท่านอย่างกับอาจารย์และบิดามารดารวมกัน เวลาพูดถึงอาจารย์ พระป่าจะต้องเรียกท่านว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ ทุกครั้ง
การปฏิบัติอาจาริยวัตรก็เป็นไปโดยสมบูรณ์แบบเสมอ พวกเราพลอยจับใจและปลื้มใจไปด้วยทุกครั้งที่ได้เห็นพระป่า
บางองค์เป็นผู้ใหญ่และเป็นอาจารย์เองแล้ว กุลีกุจอรับใช้อาจารย์ท่านด้วยประการต่าง
ๆ เวลาไปบิณฑบาตก็รับบาตรถือไป
ถึงหมู่บ้านก็ส่งบาตรให้
พอรับบาตรเสร็จแล้วก็รับเอาไปถือและนำไปจนถึงวัด เอาขึ้นศาลา
วางเข้าที่เรียบร้อย
พออาจารย์จะขึ้นศาลาก็มีศิษย์คอยตักน้ำราดเท้า ขึ้นถึงข้างบนก็มีพระคอยเอาผ้าเช็ดเท้าให้
ที่นั่งของท่านก็มีผ้าปูและมีน้ำจัดไว้เรียบร้อย
ถึงเวลาจัดบาตรก็มีผู้คอยเลื่อนอาหารเข้าไปให้ ฉันเสร็จก็มีผู้รับบาตรไปทำความสะอาดอย่างหมดจด ฯลฯ
ถ้าท่านอาจารย์ชอบฉันหมาก
ศิษย์ก็รีบยกตะกร้าหมากไปตำมาถวาย
เวลาท่านรับแขกก็มีพระมาคอยนั่งพัดโบก
เวลาสรงน้ำมีพระมาคอยราดน้ำและถูตัว
บางวัดถึงกับมีการจองไว้ก่อนว่าวันนี้คนนั้นจะถูตรงนี้และคนนี้จะถูตรงนั้น เวลานอนก็มีคนมาบีบนวดจนหลับ ถ้าอาพาธก็ผลัดเวรกันมาเฝ้าตลอดคืนตลอดวัน
ดังนี้จึงสมกับที่ท่านเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของพระและเณรทั้งวัด
การอบรมพระป่าตามวัดต่าง ๆ
ในสายท่านพระอาจารย์มั่น
สังเกตว่าอาศัยหลักอย่างเดียวกัน
แต่การปฏิบัติแตกต่างกันไปตามความเห็นและความถนัดของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นสมภารที่จะบรรยายต่อไปนี้เป็นตัวอย่างแบบกลาง
ๆ
ศีล
ทุกวัดมีการเน้นเรื่องศีล
พระป่าทุกองค์จะต้องรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ ไม่ให้มีด้างพร้อย หรือ
ทะลุโหว่แหว่งประการใด ในกระบวนไตรสิกขา
ศีลเป็นข้อที่ง่ายที่สุดและเท่ากับเป็นเครื่องทดสอบพระภิกษุ
เพราะการรักษาศีลต้องการเพียงความตั้งใจเท่านั้น ถ้าผู้ใดรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้
ผู้นั้นก็ไม่มีหวังที่จะก้าวหน้าไปถึงธรรมชั้นสูง อนึ่งศีลเป็นเครื่องรองรับหรือเป็นฐานของสมาธิ ทำให้สมาธิเกิดง่ายและตั้งอยู่โดยมั่นคง ศีลต้องดีก่อนสมาธิจึงจะดีได้
นอกจากนั้นในการท่องเที่ยวแสวงหาที่สัปปายะสำหรับอบรมจิต ต้องฝ่าอันตรายต่าง ๆ นานา
พระป่าท่านมีความเชื่อมั่นว่าศีลที่บริสุทธิ์จะเป็นเกราะที่ดีที่สุด
พระอาจารย์ผู้ใหญ่แต่ละองค์มีประวัติได้บุกป่าฝ่าดงไปในแดนของสัตว์ร้าย เช่น
เสือ ช้าง และงู ทนแดดทนฝนทนลมหนาว ต้องผจญกับมนุษย์ที่ตั้งตนเป็นศัตรู แต่เพราะท่านรักษาศีลบริสุทธิ์
สัตว์ร้ายและคนร้ายตลอดจนอากาศร้ายก็ไม่สามารถจะทำอันตรายท่านได้
เพราะฉะนั้นพระป่าที่จะออกธุดงค์ต้องแน่ใจว่าศีลของท่านบริสุทธิ์จริง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลั้งเผลอ
ท่านจึงรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่เป็นธรรมดา กล่าวได้ว่าศีล ๒๒๗
ที่เคยมีพระบ้านประกาศในที่ประชุมว่าไม่มีใครรักษาได้ พระป่าไม่เพียงแต่ถือทุกข้อ ท่านถือทุกตัวอักษรทีเดียว
พระอาจารย์ใหญ่องค์หนึ่งเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าคราวหนึ่ง
ท่านออกธุดงค์เข้าไปในป่าลึกพร้อมกับพระหนุ่มองค์หนึ่ง ไปหยุดพักใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในตอนเช้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านได้ใส่เกลือมาให้ด้วย
ท่านพิจารณาเกลือแล้วสงสัยว่าจะไม่บริสุทธิ์คือมีกลิ่นอาหารติดอยู่ พอฉันอิ่มแล้วท่านจึงบอกพระหนุ่มให้ทราบข้อสงสัยและสั่งให้สละเสีย พระรูปนั้นก็รับคำ
ในคืนนั้นต่างเข้าที่ภาวนาภายในกลดซึ่งอยู่ห่างกันพอสมควร ท่านอาจารย์นั่งไปได้พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงพระหนุ่มมาเรียกอย่างตกอกตกใจและเล่าว่ามีมดดำตัวโต
ๆ
อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับแสนนับล้านตัวมารายล้อมรอบกลดของท่าน มีจำนวนมากจนถึงเดินซ้อนกันหลายชั้น ทำทีว่าคล้ายจะบุกเข้าไปในกลด ท่านเลยต้องหนีมา ท่านอาจารย์จึงถามว่าได้ทำผิดศีลอะไรบ้างหรือเปล่า
พระหนุ่มสารภาพว่าเสียดายเกลือที่ท่านสั่งให้ทิ้ง
จึงเก็บห่อใบตองไว้และตอนเย็นได้เอาออกมาฉันกับมะขามป้อม (มะขามป้อมมีพุทธานุญาตให้ฉันในเวลาวิกาลได้) ท่านอาจารย์จึงให้พระนั้นปลงอาบัติเสียแล้วกลับไปที่กลด พอไปถึงก็พบว่ากองทัพมดมหิมานั้นได้หายไปหมดแล้วโดยไม่เหลือร่องรอย ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ก็เคยเล่าเรื่องผีก็องก็อยในป่าจังหวัดนครราชสีมา
ที่เลียบเคียงจะเข้าไปทำร้ายเด็กติดตามของท่านคนหนึ่ง ซึ่งแอบไปฆ่าสัตว์กินเป็นอาหาร ท่านอาจารย์ต้องเพ่งหาตัวผี พอท่านเล็งไปเจอะหน้ามันก็รีบหนีไป ถ้าไม่มีท่านอาจารย์
เด็กคนนั้นอาจถูกผีดูดเลือดดังที่ชาวป่าเขากลัวก็ได้ รุ่งขึ้นท่านอาจารย์ต้องส่งตัวเด็กกลับบ้าน ให้อยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะไม่มีศีลคุ้มครอง
ภาวนา
ในวัดป่าการไหว้พระสวดมนต์รวมกันนั้นมีน้อย โดยมากกระทำเฉพาะวันพระที่มีสวดปาฏิโมกข์ ในวันธรรมดาต่างองค์ต่างสวดในกุฏิของตนตามความพอใจ การสวดมนต์มีผลให้ใจสงบลง เป็นการเตรียมสำหรับการภาวนาต่อไป ตามธรรมดาพอฉันเสร็จ จัดการเรื่องบาตรเรียบร้อยแล้ว กลับถึงกุฏิพระป่าท่านก็ลงมือภาวนา
ส่วนมากมักเริ่มด้วยการเดินจงกรมเพื่อแก้อาการง่วงซึ่งอาจเกิดขึ้นภายหลังอาหาร ใกล้ ๆ
กับกุฏิทุกหลังมีทางเดินจงกรมสร้างไว้กว้างประมาณ ๑
เมตรเศษและยาว ๑๐ ถึง
๑๕ เมตร ต้องทำให้ตรงและรักษาให้สะอาด มีหลักสำหรับแขวน
หรือตั้งโคมในเวลากลางคืน
เพื่อจะได้ไม่เหยียบสัตว์ตายหรือถูกงูกัด
พระสายท่านอาจารย์มั่นนิยมเดินจงกรมเหมือนกับเดินไปธุระอย่างธรรมดา ไม่เดินย่องย่างหรือจ้ำพรวดพราด
ระหว่างเดินอาจบริกรรมคาถาหรือพิจารณาเกี่ยวกับสังขารร่างกาย จุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสงบเกิดสมาธิหรือปัญญา
จะเดินนานเท่าไรแล้วแต่บุคคลบางคนเดินหนึ่งหรือสองชั่วโมง บางคนเดินสามสี่ชั่วโมง หยุดเดินก็เข้าที่ภาวนา
พอเมื่อยหรือง่วงก็ออกมาเดินอีกสลับกันเรื่อยไปจนถึงเวลาดื่มน้ำร่วมกันในตอนบ่าย
น้ำดื่มอาจเป็นกาแฟดำ น้ำหวาน
หรือน้ำอัฏฐบาน (น้ำผลไม้คั้น) อย่างใดอย่างหนึ่ง
ดื่มแล้วกวาดวัด
กวาดเสร็จสรงน้ำ
ซักสบงและอังสะ แล้วเอาไปตาก ต่อจากนั้นเป็นอาหารว่างใครจะทำอะไรก็ได้ ผู้ที่กำลังพากเพียรมากก็เข้าที่ภาวนาต่อ
บางวัดท่านอาจารย์ขึ้นศาลาเทศน์สั่งสอนในตอนหัวค่ำทุกคืน อย่างเช่น
ที่วัดท่านอาจารย์ฝั้นสมัยที่ท่านแข็งแรงอยู่สอนเสร็จแล้วก็นั่งภาวนาพร้อมกันอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงแยกย้ายกลับกุฏิ และปฏิบัติต่อไปตามลำพัง โดยมากเดินจงกรมสลับกับนั่งสมาธิ เช่นในตอนกลางวัน จนถึงห้าทุ่มหรือสองยามจึงนอน ประมาณตีสามตื่นขึ้นนั่งจนเกือบสว่าง หลังจากนั้นก็เตรียมออกบิณฑบาต เป็นจบรอบกิจวัตรประจำวันอย่างกลาง ๆ
บางองค์ที่กำลัง เร่งความเพียร
มากอาจไม่นอนเลย
นั่งกับเดินตลอดคืน
ตอนกลางวันหลังจังหันแล้วจึงลงนอนสองสามชั่วโมงแล้วปฏิบัติต่อ บางองค์ถือธุดงค์เนสัชชิกังคะ ไม่ลงนอนเลย
กระทำแต่อิริยาบถสาม คือ นั่งยืนเดิน
ไม่นอน ถ้าง่วงก็นั่งหลับ เป็นวิธีหัดให้จิตมีกำลังเข้มแข็ง
การฝึกอย่างอื่นก็มีอีก เช่น
อดอาหารเสียจนผ่ายผอมเพราะเห็นว่าอดแล้วไม่ง่วง จิตปลอดโปร่ง
พิจารณาปัญหาต่าง ๆ
ได้ดีกว่าธรรมดา
ในการภาวนาพระป่าสายท่านพระอาจารย์มั่น ส่วนมากใช้บริกรรม พุทโธ
บางทีก็รวมกับอานาปานสติ เช่น หายใจเข้านึก พุท หายใจออกนึก โธ สองวิธีนี้ใช้กันทั่ว ๆ ไป พระอาจารย์บางองค์อาจกำหนด อารมณ์
ให้เฉพาะพระองค์หนึ่ง ๆ ไปก็ได้ เพื่อให้เหมาะกับ จริตของศิษย์
ดังนั้นจึงสามารถดัดแปลงแก้ไขการปฏิบัติให้เหมาะกับภาวะของแต่ละคน ช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากมีอะไรแทรกแซงเข้ามา เช่น
นิมิตเห็นภูตผีปีศาจ หรือ เห็นยักษ์
ฯลฯ
อาจารย์ก็ชี้แจงให้ทราบความหมายของนิมิตนั้น ๆ และบอกวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นต่อไป
หลักสำคัญประการหนึ่งซึ่งท่านอาจารย์ในสายของท่านอาจารย์มั่น
เน้นอยู่เสมอ คือ
ธรรมะทั้งหลายอยู่ภายในกายของเราเองในการพิจารณา
ให้ส่งจิตเข้าภายในกาย ศึกษาภายในกาย ไม่ให้ส่งออกไปภายนอก นอกจาก
จะไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังจะเกิดการล่องลอยของจิตอีกด้วย
ระหว่างเข้าพรรษาเป็นโอกาสที่พระป่า
จะได้ศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ของตนอย่างใกล้ชิดและได้ผลเต็มที่ เพราะอยู่ด้วยกันถึงสามเดือนเต็ม พอออกพรรษารับกฐินแล้วทั้งพระอาจารย์และศิษย์ต่างก็ออกธุดงค์เพื่อเสาะแสวงหาที่สำหรับการภาวนา
กฐินของวัดป่าทอดกันอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไร สิ่งสำคัญมีแต่ผ้าขาวสำหรับเย็บจีวร และอัฐบริขาร
บริวารกฐินจะมากน้อย
จะมีอะไรบ้างก็แล้วแต่ศรัทธา
การทอดก็มีแต่พระชุมนุมกันบนศาลา
ทายกและทายิกาขนของไปกองไว้ข้างหน้าพระ
ประธานยกผ้าขาวขึ้นกล่าวคำถวาย
พระรับผ้าไปทำพิธีกรานกฐินเสร็จแล้วประเคนของที่เหลือเป็นเสร็จพิธี ต่อไปพระท่านก็จัดการตัดและย้อมจีวรตามแบบ กินเวลาไม่ช้าก็เสร็จอนุโมทนา แล้วก็หมดธุระ
ต่อจากนั้นต่างก็ออกเดินทางไปสู่จุดหมายในป่าในดงหาภูเขาและถ้ำที่วิเวกเพื่อกระทำการ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้
การออกธุดงค์อาจต่างคนต่างไป
หรือ ไปเป็นหมู่ก็ได้
พระที่พรรษายังอ่อนต้องไปกับอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง
การท่องเที่ยวกัมมัฎฐานนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างทัศนาจร แต่เต็มไปด้วยอันตรายนานาประการ
มีพระอาจารย์ไปด้วยย่อมให้ความอุ่นใจเพราะมีทั้งคนคอยช่วยและคอยสอนการธุดงค์มีประโยชน์มาก นอกจากจะได้พบที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติภาวนา
ยังได้ฝึกหัดใจให้มีความอดทนเข้มแข็งและไว้วางใจตนเองด้วย อีกทางหนึ่งการธุดงค์เป็นการอบรมให้ยึดมั่นในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ในกลางป่าดงห่างไกลจากเพื่อนมนุษย์ ล้อมรอบไปด้วยสิงสาราสัตว์
ที่พึ่งอื่นใดไม่มีนอกจากพระรัตนตรัยและศีลที่บริสุทธิ์ อนึ่ง
ความหวาดกลัวช่วยให้จิตสงบได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นพระที่ท่านต้องการก้าวหน้าจึงพยายามไปธุดงค์ในบริเวณที่มีอันตรายมาก
ๆ เช่นจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ ถ้ายังไปไกลไม่ได้
ท่านมักยึดป่าช้าเอาผีเป็นครูไปก่อนต่อมีโอกาสจึงไปแสวงหาเสือ และ
ช้าง เป็นครูชั้นสูงต่อไป
พระอาจารย์แต่ละองค์มักชอบที่สัปปายะแตกต่างกัน บางองค์ชอบภูเขาเตี้ย ๆ บางองค์ชอบภูเขาสูง ๆ ท่านที่อยู่ในป่ามักได้ผจญกับเสือ หรือช้าง
ส่วนท่านที่ชอบถ้ำมักพบกับงูหรือภูตผี
ทุก
ๆ องค์ได้ต่อสู้กับไข้และโรคร้ายอื่น
ๆ ในป่ามาแล้วอย่างโชกโชน พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญใน
เรื่องธุดงค์กัมมัฎฐานจึงมีจิตใจแข็งแกร่ง มี ศรัทธาแน่นหนาในพระรัตนตรัยและมีความเพียรมาก หลายองค์มีประวัติของการ สู้ตาย มาแล้วในการเดินเข้าไปหาเสือ หรือ ช้าง หรือ
ในการนั่งโดยไม่ยอมลุกจากที่ถ้าไม่สำเร็จผลที่มุ่งหมาย กว่าจะได้รับสมมติเป็นอาจารย์ธุดงค์กัมมัฎฐานก็ต้องสู้อย่างถวายชีวิตมาแล้ว เพราะฉะนั้นอาจารย์ดี ๆ จึงหาได้ยากยิ่งนัก ตามประวัติของท่านพระอาจารย์ฝั้น
ท่านได้เอาชีวิตเข้าเสี่ยงกับอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งกับคนและกับสัตว์ และคอยยอม
นั่งตาย
จนเกิดความรู้ยอดเยี่ยมในเรื่องสังขาร คุณธรรม
ของท่านจึงฟุ้งเฟื่องอย่างหาที่เปรียบยาก
และท่านได้สามารถใช้อำนาจพิเศษของท่านชี้ช่องทางสว่างและช่วยเปลื้องทุกข์ให้แก่ผู้มีจิตศรัทธานับเป็นแสน ๆ คน
ท่านพระอาจารย์ตึ๋ง แห่งวัดริม (เชียงใหม่) ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่นรุ่นใกล้
ๆ กับท่านพระอาจารย์ฟั่นและเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากอีกองค์หนึ่ง ได้สรุปคุณธรรมของพระป่าไว้ดังนี้
นักธรรมนักกัมมัฏฐานต้องมีนิสัยอย่างเสือโคร่ง คือ
(๑)
น้ำจิตน้ำใจต้องแข็งแกร่งกล้าหาญ ไม่กลัวอันตราย ๆ
(๒) ต้องเที่ยวไปในเวลากลางคืนได้
(๓)
ชอบอยู่ในที่สงัดจากคน
(๔)
จะทำอะไรต้องมุ่งความสำเร็จ เป็นจุดหมาย
อันตรายของพระป่า
พระพุทธเจ้าทรงเตือนสาวกของพระองค์ให้ระวังอันตราย
๔ ประการ คือ ความเบื่อหน่าย
ต่อคำสอนของอาจารย์ ๑
ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง ๑
ความเพลิดเพลินในกามคุณ คือ เห็นแก่ความสุขสบาย ๑ และความรักผู้หญิงอีก ๑ แม้พระป่าจะอยู่ถึงกลางดงพงพี ท่านก็ฝ่าอันตรายเช่นเดียวกัน ท่านจึงต้องอาศัยอาจารย์ที่เข้มงวดกวดขันคอยให้สติเพื่อไม่ให้ปล่อยตนเป็นเหยื่อให้อันตรายทั้งสี่นั้น
ย่ำยี ในวัดที่ดี
ท่านสมภารย่อมควบคุมทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภค
ไม่ปล่อยให้ฟุ่มเฟือยจนฟุ้งเฟ้อและจำกัดการติดต่อกับคนภายนอกซึ่งอาจจะชวนให้เขวบางวัดถึงกับห้ามอ่านหนังสือพิมพ์เพราะเกรงจะดึงความสนใจออกไปข้างนอก
วิทยุและโทรทัศน์ไม่ต้องฝันถึงเพราะไม่มีวันจะได้ฟังหรือได้ชม
อันตรายของพระป่ามีมากเป็นพิเศษในระหว่างการธุดงค์กัมมัฏฐาน โดยเฉพระถ้าไปโดยลำพัง ความยุ่งยากจากผู้หญิงเคยมีตัวอย่างมาแล้ว แม้แก่อาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ อันตรายจากสัตว์ป่าเป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
นอกจากนั้นยังมีอันตรายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข้ป่า หรือ มาลาเรีย และจากคนพาล
อันตรายจากสัตว์
พระป่าท่านป้องกันได้ดีด้วยความประพฤติ
ปฏิบัติและการยึดถือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เหตุการณ์ที่พระถูกสัตว์ทำอันตรายมีไม่มากเท่าที่นึกกลัว
กันไป ไข้ป่าเป็นเหตุอันตรายมากกว่าสัตว์ ปีหนึ่ง ๆ
มีพระเสียชีวิตด้วยไข้หลายองค์
สมัยก่อนมีอันตรายมากเพราะยาที่ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่มี
สมัยนี้มียาดีแล้วแต่พระอาจจะยังไม่รู้จักใช้ อันตรายจาก
คนสมัยนี้อาจจะมากกว่าแต่ก่อน เพราะคนไม่กลัวบาปและไม่ยอมเว้นแม้แต่พระ อย่างไรก็ดี
กรณีที่พระถูกทำร้ายหรือถูกฆ่านั้นส่วนมากเพราะสะสมเงินทองไว้กับตัว อันเป็นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์ อันตรายข้อนี้ก็ไม่มี ยังเหลือแต่เหตุจากความพยาบาทหรืออิจฉาริษยา ซึ่งเป็นเรื่องของกรรมเก่ากรรมใหม่ แม้พระชั้นวิเศษก็ยังหนีไม่พ้น
ในปัจจุบันนี้คนหันมาทะนุบำรุงพระป่ามากขึ้น อ้นตรายอย่างใหม่ก็มีตามมา คือ
ความฟุ่มเฟือย ดังกล่าวแล้วในตอนต้น
ในระยะสิบปีหลังนี้การคมนาคมดีขึ้นมาก
มีถนนไปได้แทบทุกหนทุกแห่ง ทายกทายิกาที่ร่ำรวย แย่งกันบำรุงวัดป่าเพราะเห็นว่าได้บุญมาก กุฏิไม้กระบอกเปลี่ยนเป็นกุฏิไม้จริง หรือ
แม้ตึก ศาลาหลังคาสังกะสีกลายเป็นโบสถ์วิจิตรพิสดาร บางที่ยังขนาดมหึมาเสียด้วย
โคมรั้วและเทียนไขเปลี่ยนเป็นหลอดนีออนและโคมใช้แบตเตอรี่ จะไปไหนไกลหน่อยก็นั่งรถยนต์แทนเดิน (แต่คงยังไม่ถึงกับนั่งรถจิ๊บไปรับบาตรอย่างที่เคยเห็นในกรุงเทพฯ) แม้แต่น้ำดื่ม
ซึ่งเคยเป็นน้ำฝนหรือน้ำบ่อก็เปลี่ยนเป็นน้ำอัดลม ท่านสมภารวัดหนึ่งในจังหวัดอุดรฯ ท่านเทศน์ว่าน้ำขวดกำลังจะท่วมกัมมัฏฐานตายอยู่แล้ว ที่บรรยายมานี้เป็นอันตรายอย่างใหม่ที่กำลังเริ่มต้นและเพิ่งมีเฉพาะในบางวัด
หวังว่าท่านพ่อแม่ครูอาจารย์จะช่วยลูกของท่านด้วยการให้สติทางฝ่ายรับให้ยึดหลักที่ครูอาจารย์แต่ก่อน
ๆ ได้วางไว้
และเตือนฝ่ายผู้ให้ให้สำนึกว่ากำลังถวายยาเบื่อแก่พระป่า
ความหวังของพระป่า
พระป่าเพียรบำเพ็ญธรรม ด้วยอิทธิบาทและสัมมัปปธาน
ท่านต้องอดทนต่อความเป็นอยู่ซึ่งล้วนแล้วแต่ตรงกันข้ามกับสุขสบายในสายตาของคนทั่วไป
ท่านต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวไม่ทำผิดวินัยและผิดระเบียบของวัด
ระเบียบเช่นนั้นเป็นอย่างไรอาจเห็นได้จากที่คัดมาพิมพ์ไว้ต่อไปนี้ เป็นระเบียบของวัดที่มีชื่อวัดหนึ่งในจังหวัดเลย
ข้อ ๑ เวลาออกบิณฑบาตห้ามคุยกัน ให้ภาวนากำหนดจิตของใครของมัน จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาททุกเมื่อ
ข้อ ๒ กลับจากบิณฑบาตมาถึงวัดแล้ว ขณะนั่งจัดบาตรอยู่บนศาลาห้ามคุยกัน จะทำให้เสียระเบียบของครูอาจารย์
ข้อ ๓ เมื่อได้ยินเสียงระฆังสัญญาณ จงพร้อมกันออกมาทำกิจวัตรปัดกวาดอย่าเมินเฉย
ข้อ ๔ ถ้าหมู่เดียวกันทำผิดศีลธรรม ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ถ้าว่าไม่ได้
ให้ร้องเรียนให้ครูอาจารย์ทราบโดยด่วน
อย่าถือว่าเป็นการฟ้องร้องกัน
ข้อ ๕ เมื่อผู้อื่นท่านนั่งภาวนากำหนดจิตใจของท่านอยู่ อย่าไปเพ่งโทษท่านว่าหมู่คณะรังเกียจตน และทำให้เราเป็นบาป
ข้อ ๖ เมื่อทำกิจวัตรสรงน้ำเสร็จแล้ว ห้ามไม่ให้คุยกันตามกุฏิ
เว้นไว้แต่ไปศึกษาธรรมและไปดูแลความเจ็บป่วยของกันและกัน
ข้อ ๗ เมื่อมีกิจของสงฆ์เกิดขึ้นอย่าเมินเฉย ต้องเอาธุระช่วยดูแล ถ้าใครไม่เอาใจใส่ท่านปรับอาบัติทุกกฎ
ข้อ ๘ ห้ามมิให้แอบเก็บอาหารไว้ฉันตอนเพล เพราะจะทำให้เสียระเบียบธุดงค์กัมมัฏฐาน
ข้อ ๙
เวลาไปต้อนรับแขกที่มาสู่วัด
ต้องห่มจีวรให้เรียบร้อย
ตลอดจนเวลาไปรับแขกช่วยครูบาอาจารย์ก็ต้องห่มจีวร
ข้อ ๑๐ เมื่อได้ยินสัญญาณ ณ
ที่ศาลาการเปรียญต้องรีบไปให้ถึงภายใน
๑๐ นาที เมื่อถึงแล้วห้ามคุยกันในกิจที่ไม่จำเป็น
ให้นั่งภาวนากำหนดจิตใจของใครของมันจึงจะจัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เมื่อเห็นผู้อื่นไม่พูดด้วย อย่าหาว่าท่านรังเกียจ ให้เข้าใจว่าท่านกำหนดจิตของท่านอยู่
ข้อ ๑๑ ข้อจงช่วยกันรักษาของสงฆ์ที่มีอยู่ตามศาลาและกุฏิ
ใครไม่เอื้อเฟื้อในของสงฆ์ท่านปรับอาบัติเท่ากับละเมิดของสงฆ์
ข้อ ๑๒ ของสิ่งใดที่เขาเอามาถวาย ครูอาจารย์และพระหรือเณรหรือผ้าขาวเก็บไว้ ถ้าจะใช้
ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เก็บเสียก่อน
นอกจากต้องระวังตัวไม่ทำผิดวินัยและไม่ผิดระเบียบของวัด
พระป่ายังต้องพากเพียรฝึกอบรมจิตของตนเพื่อยังกิเลสให้เบาบางลงไปเรื่อย
ๆ
จุดหมายปลายทางที่สุดยอดคือความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าพลาดจากนั้นก็ขอให้ได้อริยธรรมชั้นใดชั้นหนึ่งตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปถึงอนาคามี ซึ่งจะเป็นการประกันว่าจะไม่ต้องไปเกิดแดนทุคติ
ความมุ่งมาดดังกล่าวมานี้เป็นจริงจังสำหรับพระป่า ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ทั้งนี้เพราะท่านมีบุคคลตัวอย่างที่เห็น ๆ อยู่เป็นตัวอย่างสำหรับความสำเร็จชั้นเยี่ยม
คือ อรหัตผล
ผู้ที่ได้ศึกษาจริงจังและอย่างใกล้ชิดต้องยอมรับว่าพระอรหันต์มีจริง แม้ในสมัยวิทยาศาสตร์ เช่น
ปัจจุบันนี้พระอรหันต์ก็มีได้และได้บังเกิดแล้ว
คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูมิทัตโต
ต้นสายและแบบฉบับการปฏิบัติของพระป่าที่เรากำลังกล่าวถึง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูมิทัตโต
เป็นสักขีพยานรายแรกในสมัยนี้ที่สนับสนุนพระพุทธวจนะว่าตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรมของพระองค์อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะยังไม่ปราศจากพระอรหันต์
ความสำเร็จแห่งท่านพระอาจารย์มั่นและสานศิษย์ของท่านอีกหลายองค์
เป็นเครื่องกระตุ้นให้พระป่าละทิ้งบ้านช่องและภาวะแห่งผู้ครองเรือนมาเป็นคนไม่มีบ้านและคนป่าด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นว่าทางข้างหน้านั้นสว่างไสว ขอแต่ให้ได้เดินโดยถูกทางและโดยไม่หยุด โดยไม่ย่อท้อต่อความอดอยากยากแค้น และอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวล
เพื่อให้ถึงดินแดนแห่งความสว่างอันเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับพระป่าทุกองค์
หลายต่อหลายองค์ต้องหยุดเสียแค่กลางทาง บางองค์เพราะหมดบารมี บางองค์เพราะหมดอายุ แต่องค์ที่ยังเหลืออยู่ก็จะเดินต่อไป โดยไม่ครั่นคร้ามหรือท้อแท้ เดินต่อไป
เพราะท่านแน่ใจว่าผลที่ได้จะคุ้มกับความเหนื่อย
ผลนั้นคือความไม่ต้องกลับมาทนทุกข์แห่งความเกิดอีกต่อไป
o
ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือ
ปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด
o
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุดไม่มีที่เปลี่ยนได้
เพราะพระพุทธศาสนา
เท่านั้นที่จะพาให้รู้จักพลังพิเศษ คือ
ความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้
ตั้งแต่ทุกข์น้อย
จนถึงทุกข์ทั้งปวง
จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิงไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลยตลอดไป
ข้อควรทราบบางประการและยึดถือปฏิบัติต่อพระป่า
การทำบุญบริจาคทานกับพระป่านั้น ศรัทธาทั้งหลาย
ควรศึกษาให้เข้าใจว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
อะไรไม่ควรบริจาคทานทำบุญกับพระป่า
อะไรสมควรที่ท่านจะบริโภคได้
ในข้อนี้ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
ที่ยังไม่เข้าใจ
ก็มีอยู่เป็นส่วนมาก ทำผิด ๆ ถูก
ๆ กันอยู่เสมอในทุก ๆ วันนี้ อย่างเช่นการบริจาคทานโภชนาหาร การขบฉัน
เราควรศึกษาให้รู้ว่า อาหารอะไร ควรฉันเวลาไหนจึงจะเหมาะสมควรกับกาลเวลานั้น
เวลาและประเภทของโภชนะอาหาร ที่พระภิกษุรับประเคนได้
๑.
สิ่งของที่ควรถวายแก่พระป่าตอนเช้า และไม่ควรถวายในตอนบ่าย เพราะพระภิกษุไม่ได้ ได้แก่โภชนะอาหาร ๕ อย่างคือ
-
ข้าวสุก
-
ขนมสด
-
ขนมแห้ง
-
ปลา
-
และเนื้อ
๒.
สิ่งของที่พระป่าท่านรับประเคนได้ ฉันได้
ทั้งในตอนเช้า เย็น กลางคืน
และท่านเก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน
ได้แก่
-
น้ำผึ้ง
-
น้ำอ้อย
-
น้ำตาล
-
น้ำหวาน
-
เนยใส
-
เนยข้น
๓.
สิ่งของที่พระป่าท่านรับประเคนได้ ทั้งในตอนเช้า เย็น
กลางคืน
และท่านฉันได้ทุกเวลาถ้ามีเหตุจำเป็นเกิดขึ้นแก่ท่านได้แก่ ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ
๔.
สิ่งของที่พระป่าท่านรับประเคนได้ ฉันได้ในตอนบ่าย เย็น
และกลางคืน ได้แก่ น้ำปานะ
ซึ่งผลไม้ที่จะนำมาทำต้องไม่ใช่ผลไม้ที่เป็นมหาผล ผลไม้ควรใช้ทำน้ำปานะถวายพระป่า สามเณร
ได้แก่ มะนาว พุทรา
ลูกหว้า ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง
มะขาม มะปรางดิบ กล้วยดิบมีเมล็ด ฯลฯ
น้ำที่ใช้ทำน้ำปานะ ควรต้มให้สุกเสียก่อน แล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ส่วนวิธี
ทำน้ำปานะอย่างย่อ ๆ
ให้นำผลไม้มาแกะเอาเมล็ดออก
แล้วคั้นเอาแต่น้ำผลไม้
จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าขาวสะอาด
๗ ครั้ง แล้วจึงนำมาผสมด้วยพริก หรือ
เกลือ หรือน้ำตาล หรือยาสมุนไพรต่าง ๆ ตามต้องการ
น้ำปานะที่ผสมเสร็จแล้วนี้ ห้ามนำไปต้มสุกอีก น้ำปานะที่จัดเตรียม
เรียบร้อยแล้วนี้
จะประเคนพระได้ตั้งแต่เที่ยงวัน ถึงเที่ยงคืน ก็หมดอายุกาล
เพราะน้ำปานะนั้นจะกลายเป็นน้ำเมรัยเสียแล้ว จึงห้ามภิกษุสามเณร ฉันเด็ดขาด
เนื้อสัตว์ ๑๐
อย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม
พระภิกษุ สามเณร ไม่ให้ฉัน
๑.
เนื้อมนุษย์
๒.
เนื้อช้าง
๓.
เนื้อเสือเหลือง
๔.
เนื้อเสือโคร่ง
๕.
เนื้อเสือดาว
๖.
เนื้อหมี
๗.
เนื้อราชสีห์
๘.
เนื้องู
๙.
เนื้อสุนัข
๑๐.
เนื้อม้า
ส่วนเนื้อสัตว์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุ สามเณรฉันได้ คือ
เนื้อสัตว์
ทั้งหลายเว้นจากเนื้อสัตว์ ๑๐
ชนิด ดังกล่าวแล้ว เช่น
เนื้อวัว เนื้อหมู ปลา
กุ้ง เป็นต้น แต่ต้องทำให้สุกดีก่อนจึงฉันได้
การประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุ
การถวายสิ่งของต่าง
ๆ ให้แก่พระภิกษุ ไม่ว่าจะเป็นพระเมือง หรือพระป่า
รับ ล้วนเรียกว่า ประเคนสิ่งของทั้งสิ้น
ในการประเคนของนั้น
ขนาดและน้ำหนักของสิ่งที่จะประเคน
ควรเป็นสิ่งของพอบุรุษมีกำลังยกคนเดียวได้
หรือไม่หนักเกินไป
เพื่อจะยกประเคนได้สะดวก
และพระก็รับประเคนได้สะดวกเช่นกัน
เมื่อหากว่าทายกจัดเตรียมสิ่งของเหล่านั้นเสร็จแล้ว พระนั่งเรียบร้อยดีแล้ว เราก็ถือสิ่งของเหล่านั้นเข้าไปใกล้พระให้ได้ ๑
หัตถบาตร คือ
ให้ห่างกันประมาณ ๑ ศอกคืบ
หรือ ๒ ศอก
พอเหมาะกับสถานที่นั้น ๆ ด้วย แล้วยกสิ่งของนั้นประเคนพระภิกษุ ให้สูงพอแมวลอดได้
การรับประเคนสิ่งของนั้น
ถ้าโยมยกของถวาย ๒ มือ
พระก็ต้องรับของ ๒ มือ
ถ้าโยมยกของถวายมือเดียว
พระก็รับมือเดียวเช่นกัน
ถือว่าถูกต้องในการประเคนสิ่งของสำหรับโยมผู้ชาย
แต่หากว่าเป็นโยมผู้หญิงประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุ โยมก็ควรจะนั่งห่างจากพระภิกษุประมาณ ๒
ศอก หรือ ให้เหมาะสมกับสถานที่นั้น ๆ
พระภิกษุ
เมื่อจะรับประทานสิ่งของจากโยมผู้หญิง
ควรมีผ้าสำหรับรับประเคน
หรือผ้าควรหาได้ว่าเหมาะสม แล้ววางผ้านั้นลงที่ตรงหน้าของตนให้เรียบร้อย
แล้วโยมผู้หญิงก็น้อมสิ่งของที่จะถวายพระวางลงบนผ้าที่พระท่านจัดปูไว้นั้น ด้วยความเคารพ
ถ้าโยมยกของถวาย ๒ มือ
พระก็ต้องจับผ้า ๒ มือ
ถ้าโยมยกของถวายมือเดียว พระก็จับผ้ามือเดียวเช่นกัน
ปัญหาที่ได้พบเกี่ยวกับการทำบุญบริจาคทาน
คือญาติโยมไม่รู้ไม่เข้าใจ ส่วนมากมักคิดกันว่า เวลาไปทำบุญกับพระป่า พระภิกษุเมื่อนำไทยทานไปถึงต้องประเคนหมด ถ้าไม่เคนหมดจะไม่ได้บุญ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะตามพระวินัย อาหารที่พระภิกษุได้รับประเคนแล้วในตอนเช้า ก็ให้ฉันในตอนเช้าไปถึงเที่ยงวัน ของวันรับประเคนเท่านั้น
ในวันต่อไปห้ามฉันอาหารที่เหลืออยู่นั้นอีก เป็นการผิดศีลของพระ เพราะพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้
ฉะนั้นอุบาสก อุบาสิกาท่านใดที่อยากจะถวาย ข้าวสาร
อาหารแห้ง
อาหารกระป๋องทั้งหลายแก่พระป่า
ก็พึงอย่าได้ประเคนแก่ท่านเสียทั้งหมด
ควรแยกสิ่งเหล่านี้ให้กับแม่ขาว
หรือผู้ที่มีหน้าที่
หุงหาดูแลการขบฉันของวัดป่าแห่งนั้น
ๆ ไว้
ทยอยนำออกประเคนให้กับพระภิกษุในภายหลัง
ก็ย่อมได้บุญกุศลเหมือน ๆ กัน ทั้งยังจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำบุญเป็นอีกด้วย
คณะศรัทธาญาติโยม
ทั้งหลายจึงควรพากันศึกษาเรื่องการถวายของทำบุญในโอกาสต่าง ๆ
ให้ถูกกาลเทศะกับสิ่งของเหล่านั้น
และควรฟังคำแนะนำของพระภิกษุว่าท่านจะแนะให้ปฏิบัติอย่างไร จึงถูกต้องในการทำบุญ เราก็ปฏิบัติตามให้ถูกต้อง อย่าขัดแย้งต่อคำท่านสอน เพราะว่าพระภิกษุ
พระป่าท่านเรียนรู้มาดีแล้วในทางการปฏิบัติศาสนกิจทางพุทธศาสนานั่นเอง
คัดย่อจากหนังสือเรื่อง
“
ทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมาก ”
สนทนาธรรมโดย
“
พระอาจารย์เปลี่ยน
ปัญญาปทีโป ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น